น่าเสียใจที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มการเมืองที่มีความเห็นต่าง กลุ่มแนวร่วมศูนย์ประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) กับกลุ่มทะลุวัง ที่บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยาม ใน กทม. แม้จะไม่ ถึงกับร้ายแรง แต่สะท้อนว่ากลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมืองพร้อมที่จะใช้กำลัง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งร้ายแรงเหมือนในอดีตมีเสียงเรียกร้องจากนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขอให้กลับมาทบทวน บทบาทสำคัญของสังคมประชาธิปไตย ทุกสังคมมีความเห็นต่างเป็นธรรมดา แต่ต้องไม่ถูกจัดการด้วยการใช้กำลัง หรือการผลักไสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป จะยิ่งเพิ่มช่องว่างเห็นต่าง ต้องแก้ด้วยประชาธิปไตยนายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่าเข้าใจความรู้สึกของกลุ่ม ศปปส. กรณีที่กลุ่มทะลุวังบีบแตรรบกวนขบวนเสด็จ เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศก็ไม่เห็นด้วย แต่การใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ขอให้ทุกฝ่ายหยุดสร้างความขัดแย้ง กลุ่มทะลุวังต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำความคิดเห็นที่ต่างกันในทางการเมือง เป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย แต่นักประชาธิปไตยจะต้องใช้ “ขันติ” คือ ความอดทนในการรับฟังความเห็นต่าง และยึดมั่นในสันติวิธี นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งชื่อวอลแตร์กล่าวว่า ข้าพเจ้าอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูด แต่พร้อมที่จะปกป้องเสรีภาพในการพูดของท่านสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ มีการแถลงการณ์ตอบโต้ของกลุ่มที่เห็นต่าง กลุ่ม ศปปส.ประณามการชุมนุมของกลุ่มทะลุวัง ที่กระทบต่อสถาบัน ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ พร้อมทั้งขู่ว่า “รอบหน้าไม่มีคำว่าปรานี ชุดใหญ่ลงแน่นอน” และมีแถลงการณ์จากสมาคมกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มทะลุวังเป็นการตอบโต้แถลงการณ์ของสมาคมกฎหมาย เพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่าการที่กลุ่ม ศปปส.ใช้กำลังทำร้ายกลุ่มผู้ที่เห็นต่าง ไม่อาจยอมรับให้เป็นวิธีการที่ชอบธรรมในการปกป้องสถาบัน ทำให้สังคมตกอยู่ในความหวาดกลัวว่า อาจเกิดเหตุร้ายต่อผู้เห็นต่างน่าแปลกใจที่รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีไม่ได้สนใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาลอาจไม่มีเวลาพอ เพราะมัวยุ่งอยู่กับการแจกเงินหมื่น รัฐบาลน่าจะมองให้องค์กรที่เป็นกลางทางการเมือง เช่น สถาบันพระปกเกล้า จัดการเสวนาระหว่างกลุ่มเห็นต่าง โดยยึดหลักขันติ สันติและประชาธิปไตย.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม