วันอังคาร, 5 พฤศจิกายน 2567

“ชัยธวัช” ไม่เห็นด้วย ศปปส.ใช้ความรุนแรง “วิโรจน์” ซัด พฤติกรรมลุแก่อำนาจ

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลั่น ไม่เห็นด้วย ศปปส.ใช้ความรุนแรง หลังเกิดเหตุวิวาทกลุ่มทะลุวัง ชี้ เวลานี้ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ ด้าน “วิโรจน์” ซัด เป็นพฤติกรรมลุแก่อำนาจ เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน จี้รัฐบาลและตำรวจใช้กฎหมายจัดการผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยธวัช ตุลาธน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อช่วงกลางดึกของวานนี้ (๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) ถึงกรณีที่หลายฝ่ายมีความเห็นในหลากหลายทิศทาง ต่อการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มกิจกรรมทะลุวัง ที่กำลังเป็นประเด็นขณะนี้ ว่า อันดับแรก เราต้องหันกลับมาทบทวนหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย นั่นคือธรรมชาติของทุกสังคมย่อมมีความเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเรื่องความเห็นต่อบ้านเมือง แต่ความเห็นที่แตกต่างกันเหล่านั้นต้องไม่ถูกจัดการด้วยการใช้กำลัง การล่าแม่มด หรือการผลักไสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป ซึ่งจะยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้มีความคิดความเชื่อต่างกันให้มากขึ้น แต่ต้องใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย เพื่อลดช่องว่างทางความเข้าใจโดยไม่ใช้ความรุนแรง นายชัยธวัช ระบุต่อไปว่า ในกรณีกลุ่มทะลุวัง ตนเข้าใจดีถึงความคับข้องใจที่พวกเขาแสดงออก แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าพวกเราทราบดี ว่าเนื้อหาสาระกับวิธีการแสดงออกเป็น ๒ สิ่งที่สำคัญควบคู่กัน การเลือกวิธีแสดงออกแบบใดแบบหนึ่ง ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจ, ไม่พอใจ, เข้าใจ และไม่เข้าใจ จึงพึงพิจารณาว่าการแสดงออกทางการเมืองเช่นนั้นสามารถถ่ายทอดความรู้สึกและเหตุผลภายในใจไปยังประชาชนกลุ่มอื่นในสังคม ให้รับรู้และเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของผู้แสดงออกได้หรือไม่ “ไม่ว่าวิธีการที่แต่ละคนแต่ละฝ่ายเลือกใช้คืออะไร เส้นที่เราต้องไม่ข้ามไป คือการใช้ความรุนแรงตอบโต้ หรือเจตนาทำลายล้างคนที่คิดไม่เหมือนตนให้หมดไปจากสังคม การกระทำของกลุ่ม ศปปส. ที่สยามพารากอนในวันนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง”หัวหน้าพรรคก้าวไกล เผยต่อไปว่า สังคมไทยทุกฝ่ายต้องเรียนรู้จากความรุนแรงทางการเมืองในอดีต การปลุกระดมสร้างความเกลียดชังจนนำมาสู่การใช้ความรุนแรงไม่อาจคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน มีแต่จะยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกันในสังคม ให้ยากจะหันหน้ามาคุยกันได้ เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ การมีกระบวนการที่โอบรับทุกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยและพร้อมรับฟังกันและกันอย่างเปิดใจ คือหนทางเดียวที่จะพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งนี้ทั้งนี้ เชื่อว่าเรายังพอมีความหวัง สัญญาณของการพาสังคมออกจากความขัดแย้งยังไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างน้อยตนเห็นความพยายามจากหลายฝ่ายในการพูดถึงกระบวนการที่จะนำไปสู่การนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางเพียงไม่กี่อย่าง ที่จะสร้างพื้นที่ให้เราหันหน้ามาคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ รับฟังกันอย่างมีเหตุผลและอย่างจริงใจ เชื่อว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นการเจาะหนองระบายความขัดแย้งทางการเมืองที่เรื้อรัง ให้ทุกฝ่ายเย็นลงมากพอที่จะมานั่งคุยกัน หาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมมายาวนานอย่างไรก็ตาม ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์นี้ ที่ลานประชาชนรัฐสภา เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน จะมีการจัดพื้นที่พูดคุยเพื่อนำไปสู่การลดความขัดแย้งของสังคม โดย นายชัยธวัช เผยว่า จะเข้าร่วมกิจกรรมด้วย จึงอยากเชิญชวนให้ทุกฝ่ายลองเริ่มต้นมาพูดคุย เปิดใจรับฟังเสียงของกันและกันtt ttต่อมาเมื่อเวลา ๐๕.๒๗ น. วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ต่อกรณีการที่มีกลุ่มบุคคลอ้างความจงรักภักดี แล้วไปทำร้ายผู้อื่นที่สถานีรถไฟฟ้า BTS ว่า การใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่นโดยอ้างว่าทำเพื่อปกป้องสถาบัน ทำเพราะจงรักภักดี เป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อสถาบันอย่างมาก หากรัฐปล่อยให้กลุ่มคนเหล่านี้ลอยนวล มีอำนาจบาตรใหญ่ สามารถอ้างสถาบันไปทำร้ายคนที่คิดต่างอย่างไรก็ได้ โดยที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ หรือสมยอมเอาผิดเพียงลหุโทษ นายวิโรจน์ ระบุต่อไปว่า พฤติกรรมที่ลุแก่อำนาจของกลุ่มคนเหล่านี้ ระยะสั้นอาจดูเหมือนความคลั่งไคล้ที่มีต่อสถาบัน แต่ในระยะยาวมีแต่จะเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นพวกนิยมความป่าเถื่อน และจะส่งผลกระทบในทางลบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด“ผมจึงมีความเห็นว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องบังคับใช้กฎหมายจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างจริงจัง ไม่ให้เหิมเกริมกล้านำเอาสถาบันมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้คนตามใจชอบได้อีกต่อไป”