วันพุธ, 6 พฤศจิกายน 2567

ดันไทยฮับการบิน นายกฯ ชู ๕ ปี สุวรรณภูมิท็อป ๒๐ ขยายสนามบินทุกภูมิภาค

“เศรษฐา” ดันไทยศูนย์กลางการบินภูมิภาค สั่งอัปเกรดสนามบินสุวรรณภูมิติด ๑ ใน ๕๐ ของโลก ภายใน ๑ ปี และ ติด ๑ ใน ๒๐ ของโลก ภายใน ๕ ปี หลังตกไปอยู่อันดับ ๖๘ ลั่นใน ๖ เดือนจะไม่เห็นผู้โดยสารรอคิว ตม.นาน ตั้งเป้าต้องรองรับผู้โดยสารจาก ๖๐ ล้านคนให้ถึง ๑๕๐ ล้านคนในปี ๒๕๗๓ ทอท.จ่อทบทวนแผนแม่บท เร่งสปีดปรับระบบเช็กอินและตรวจคนเข้าเมือง “สมคิด” จวก “ปดิพัทธ์” ออกแอ็กชันใช้อารมณ์ก้าวล่วงฝ่ายบริหาร “ครูมานิตย์” ฟัดเล่นเกินบทบาท นายกฯย้อนถามเป็นพฤติกรรมถูกต้องหรือไม่ ยันถ้าอยู่เมืองไทยเข้าสภาฯทุกสัปดาห์ กำชับ รัฐมนตรีฝ่ายค้านคลางแคลงใจต้องไปตอบ “หมออ๋อง” ย่องเข้าทำเนียบฯ ย้ำทำตามหน้าที่ติดตามความคืบหน้าร่างกฎหมาย ถามกลับมาคุยเพื่อทำงานร่วมกันไม่ดีตรงไหนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ “จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดแถลงประกาศยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ตั้งเป้าอัปเกรดสนามบินสุวรรณภูมิให้ติด ๑ ใน ๕๐ ของโลกภายใน ๑ ปี และติด ๑ ใน ๒๐ ของโลก จากปัจจุบันตกไปอยู่อันดับ ๖๘“เศรษฐา” ดันไทยฮับการบินภูมิภาคเมื่อเวลา ๐๙.๓๐ น. วันที่ ๑ มีนาคมที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการคมนาคม นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการคมนาคม รวมถึง ผู้บริหาร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.และสายการบินต่างๆเข้าร่วม โดยนายกฯกล่าวว่า สัปดาห์ก่อนในการแถลงวิสัยทัศน์ประเทศไทย Ignite Thailand ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางไว้ ๘ ด้าน ๑ ในนั้นคือการทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค รัฐบาลมีความเชื่อว่าศักยภาพประเทศไทยพร้อมมากที่จะถูกระเบิดออกมา ฉายแววออกมาให้ชาวโลกรู้ว่าศักยภาพของเรามีมากขนาดไหน ก่อนที่เราจะอัปเกรดศูนย์กลางทางการบิน ต้องยอมรับว่ามีปัญหาอะไรบ้าง๑ ปีสุวรรณภูมิต้องติด ๑ ใน ๕๐ ของโลก“เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว สนามบินสุวรรณภูมิอยู่ในอันที่ ๑๓ ของโลก แต่ปัจจุบันอยู่อันดับที่ ๖๘ ของโลก ตกมา ๕๕ อันดับ จึงขอประกาศว่า ๑ ปีจากนี้ สนามบินสุวรรณภูมิต้องเป็น ๑ ใน ๕๐ ของโลก และ ๑ ใน ๒๐ ของโลกภายใน ๕ ปี เรามีความฝันทุกวัน อยากให้มันเป็นจริง อยากให้เกิดขึ้นมาได้ ขอประกาศวันนี้เราตื่นแล้ว ฝันดีแล้ว วันนี้ตื่นขึ้นมาร่วมกันให้ความฝันเป็นความจริง ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้จะมีส่วนร่วมทำให้เราถึงจุดหมายนั้นได้ ขอขอบคุณและให้กำลังใจทุกคน เพื่อให้ศักยภาพที่สำคัญที่สุดคืออัปเกรด AVIATION HUB เป็นความจริง เพื่อนบ้านเราไม่ได้ลงทุนอะไรเลย อย่างสนามบินมาเลเซียแต่อันดับสูงกว่า เราไม่ต้องพูดถึงสนามบินสิงคโปร์หรือฮ่องกง ปัญหาในสนามบินถ้าเราไม่ปรับ วุ่นวายแน่นอน และจะเป็นปัญหาใหญ่ เป็นที่น่าเสียดายว่าเวลาเรามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมันบั่นทอนศักยภาพประเทศ เรื่องเที่ยวบินที่มาต่อที่นี่น้อยลง หากมีการจัดตารางบินใหม่ เครื่องบินที่มาเปลี่ยนผ่านที่นี่รู้หรือไม่ว่ามีเพียงแค่ ๑% ขณะที่สิงคโปร์มีถึงกว่า ๓๐% ระยะเวลา ๒-๓ ชั่วโมงที่ผู้โดยสารมารอเปลี่ยนเครื่องเห็นสิ่งดีๆของไทยได้ หากเข้ามาอยู่ ๗-๘ ชั่วโมง ได้เข้าไปในเมืองกลับมาเกิดความประทับใจ อาจมีแผนมาประเทศไทย แต่วันนี้ถ้าไม่มีการทำอะไร อย่าว่าจะขึ้นเลย ลำดับที่ ๖๘ ก็ตกลงไปได้” นายกฯกล่าว รับผู้โดยสาร ๑๕๐ ล้านคนในปี ๗๓นายเศรษฐากล่าวอีกว่า สำหรับสุวรรณภูมิมีพื้นที่ ๒๐,๐๐๐ ไร่ เมื่อปลายปีที่แล้วมีการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบิน SAT๑ เป็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาลเมื่อ ๑๗ ปีที่แล้วที่ได้วางโครงสร้างไว้ แต่ยังยอมรับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง แต่จะเปิดให้ครบ ๑๐๐% ภายในไตรมาส ๒ ของปี ๒๕๖๗ รองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก ๔๕ ล้านคน เป็น ๖๐ ล้านคนต่อปี จะทำให้เครื่องบินบินขึ้นลงได้เป็น ๙๐ เที่ยวบินต่อชั่วโมง และอนาคตเตรียมจะสร้างอาคาร SAT๒ วันนี้เรามีศักยภาพเพียงพอ แต่เราจะต้องฉายแสงออกมาให้ได้ ต้องยกระดับให้รองรับผู้โดยสารให้ได้ถึง ๑๕๐ ล้านคน ในปี ๒๕๗๓ และมั่นใจหลังจาก ๖ เดือนนี้ต่อไป เราจะไม่เห็นผู้โดยสารที่รอคิวนานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และต้องดูเรื่องการขยายคาร์โก้ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าของสนามบินสุวรรณภูมิด้วยดอนเมืองรับ ๕๐ ล้านคนที่จอดรถ ๕ เท่านายเศรษฐากล่าวว่า สนามบินดอนเมืองเป็นอีกหนึ่งสนามบินที่สำคัญ รัฐบาลจะเปลี่ยนสนามบินดอนเมืองให้สะดวกรวดเร็ว ครบครัน รับผู้โดยสารให้มากยิ่งขึ้น จะสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับผู้โดยสารมากขึ้น ปัจจุบันรับผู้โดยสารอยู่ที่ ๓๐ ล้านคน เพิ่มให้เป็น ๕๐ ล้านคน และสร้างอาคารจอดรถเพิ่มให้สามารถจอดรถเพิ่มขึ้นเป็น ๕ เท่า ประมาณ ๗,๖๐๐ คัน แต่ในช่วง ๓ เดือนนี้จะเพิ่มที่จอดให้ได้อีก ๑,๐๐๐ คันก่อน โดยจะย้ายที่จอดรถพนักงานไปตึกการบินไทย เป็นการเสียสละของเจ้าหน้าที่ ทำให้ประชาชนไม่ต้องไปเสียเวลาหาที่จอดอีกขยายสนามบินเหนือ–ใต้–เมืองรองนายเศรษฐากล่าวว่า นอกจากนี้จะมีการสร้างสนามบินอันดามัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ และจังหวัดใกล้เคียง และจะมีการพัฒนาสะพานสารสินเพื่อรองรับรถได้มากขึ้นและให้เรือขนาดใหญ่สามารถผ่านได้ ส่วนทางภาคเหนือก็จะมีสนามบินล้านนา เพื่อรองรับผู้โดยสารอีก ๒๐ ล้านคนต่อปี และจะมีการยกระดับสนามบินเมืองรองทั่วประเทศ เช่น สนามบินน่าน ศรีสะเกษ นครราชสีมา ให้กลายเป็นสนามบินหลักให้ได้ ควบคู่กับพัฒนาครัวไทยสู่การเป็นครัวโลกผ่านการผลิตอาหารบนเครื่องบินที่ดีที่สุดในโลก และระบบการทำงานภายในสนามบินก็สำคัญ จะมีการขยายอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงรักษาเป็นศูนย์กลางการบำรุงรักษา ทั้งเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินส่วนตัว ต่อยอดระบบขนส่งและคลังสินค้า รวมถึงการต่อยอดความร่วมมือทั้งจากสายการบินต่างๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงแรม เพื่อพัฒนาการบิน เส้นทางการบิน จำนวน และประเภทเครื่องบินส่วนตัวและการบริการ ไปเยอรมนี สัปดาห์หน้าร่วมงานส่งเสริมการท่องเที่ยวไอทีบี ๒๐๒๔ จะไปอธิบายให้ฟังทั้งหมดว่าประเทศไทยมีเรื่องดีๆอะไรบ้าง แต่เป็นแค่ออรเดิร์ฟไปโฆษณาว่าปีหน้าเราจะมีอะไรบ้าง รับรองได้ว่าเขาจะต้องชอบ พอใจ และจะเดินทางมาไทยมากยิ่งขึ้น ทวงบัลลังก์การบินไทยคืนที่ ๓ เอเชียนายกฯกล่าวอีกว่า สำหรับสายการบินไทย สายการบินแห่งชาติเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน การพัฒนาต่อไปจะไปไม่ได้ ถ้าสายการบินไทยไม่แข็งแรง ต้องมีการบริหารให้เหมาะสม ทั้งลักษณะเครื่องบิน ต้องพัฒนาระบบตั๋วที่หลายประเทศใช้ระบบออนไลน์ วันนี้เราต้องพูดตรงไปตรงมาว่าการบินไทยมีตัวแทนขายตั๋วเยอะมีการกั๊กตั๋ว วันนี้ไม่ได้มาว่ากัน เราต้องพัฒนาให้ดีขึ้น หลายสายการบินใช้การจองตั๋วออนไลน์มาบริหารราคาตั๋วเพื่อสร้างกำไร ตรงนี้เราต้องให้ความสำคัญ เข้าใจอย่างตรงจุด เรื่องเหล่านี้คาดหวังว่าการบินไทยต้องทำได้ และการจัดตารางไฟลท์ต้องมาพูดกัน เราทราบกันดีการบินไทยอยู่ระหว่างการฟื้นฟูหลังโควิด-๑๙ วันนี้รักษาตัวเองให้ดี หากหลุดพ้นจากแผนฟื้นฟูแล้ว เรามาให้น้ำใจผู้โดยสารทุกคนที่ให้ความเชื่อมั่นเรา ทั้งนี้เราต้องมีความทะเยอทะยานให้การบินไทยติดอันดับโลก อย่างน้อยต้องติดอันดับ ๓ ของเอเชีย คนไทยต้องภาคภูมิใจกำชับส่งต่อความสุขผ่านงานบริการนายกฯกล่าวว่า การที่แอบไปตรวจระบบการตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้จ้องจับผิด แต่เพื่อให้เห็นการทำงานไม่ได้ดูแค่หน้างานแต่ดูหลังบ้านด้วย และได้พูดคุยเรื่องการบริหารคนให้เขามีจิตใจที่ดีขึ้น ให้เกิดความตั้งใจทำงาน คิดว่าความสุขเป็นอะไรที่ส่งต่อกันได้ เริ่มต้นจากผู้ให้บริการถ้ามีความสุข เวลาส่งต่อการให้บริการผู้โดยสารจะส่งต่อความสุขนั้นได้ ความสุขเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เป็นโรคติดต่อที่ดี หลายท่านอาจถามว่าอะไรคือประโยชน์ของศูนย์การบิน สิ่งที่พูดมาทั้งหมดคิดว่าคงจะเห็นเรื่องเศรษฐกิจที่พยายามพัฒนาอย่างก้าวกระโดด วันนี้เราจะต้องเอาชนะให้ได้ หากเราโปรโมตการท่องเที่ยวอย่างมโหฬาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่อยากสนับสนุนให้การบินมีเพิ่มมากขึ้น หลายท่านที่มาเห็นการบริการที่ประทับใจ จะเห็นออรเดิร์ฟให้กับเขาว่าในปีหน้าอาจจะอยากมาเที่ยวที่ไทย แต่ทั้งนี้ต้องมีการสร้างความยั่งยืน ดึงดูดสายการบิน และส่งเสริมการผลิตในประเทศไทย สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทอท.รื้อระบบเช็กอิน–ตรวจคนเข้าเมืองนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ทอท.พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของโลกตามนโยบายของนายกฯ โดยเป้าหมายที่ให้ผลักดันสนามบินสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ ๑ ใน ๕๐ สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน ๑ ปี จะทำได้ด้วยการปรับปรุงการให้บริการภายในสนามบินให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้โดยสารเกิดความประทับใจ เริ่มตั้งแต่ระบบเช็กอิน ระบบตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่อีก ๖๐๐ คนเพื่อลดเวลารอคอย และจะมีเจ้าหน้าที่ ทอท. ๘๐๐ คน มาเสริมระบบการตรวจค้นทบทวนแผนแม่บทผุดอาคารผู้โดยสารนายกีรติกล่าวอีกว่า ส่วนการติดอันดับ ๑ ใน ๒๐ ภายใน ๕ ปี ทอท.จะทบทวนแผนแม่บทการลงทุนใหม่ให้แล้วเสร็จภายในเดือน พฤศจิกายน๖๗ เพื่อไปสู่เป้าหมายการรองรับผู้โดยสารให้ได้ ๑๕๐ ล้านคนต่อปี ภายในปี ๒๕๗๓ จากปัจจุบันรองรับได้ ๔๕ ล้านคนต่อปี และจากการเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ ๑ หรือ SAT-๑ จะทำให้รองรับได้ ๖๐ ล้านคนต่อปี โดยหลักๆ การทบทวนแผนแม่บท จะสร้างอาคารผู้โดยสารเพิ่ม ประกอบด้วยโครงการส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เริ่มก่อสร้างในปี ๒๕๖๘ จะเพิ่มปริมาณรองรับผู้โดยสารได้อีก ๓๐ ล้านคนต่อปี รวมเป็น ๙๐ ล้านคนต่อปี พร้อมกับก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ที่จะรองรับจำนวนผู้โดยสารได้อีก ๖๐ ล้านคนต่อปี รวมเป็น ๑๕๐ ล้านคนต่อปี ตั้งเป้าเริ่มก่อสร้างในปี ๒๕๖๙ เพื่อให้แล้วเสร็จและเปิดบริการได้ในปี ๒๕๗๒ ส่วนด้านทิศเหนือจะพิจารณาทำเป็นพื้นที่รองรับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวและศูนย์ซ่อมเครื่องบินเพิ่มเครื่องตรวจพาสปอร์ต ๕๐ เครื่องพล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง ๒ (ผบก.ตม ๒) เปิดเผยว่า ตม.อยู่ระหว่างปรับเทคโนโลยีตรวจคนเข้าเมืองให้เป็นระบบเดียว จะสำเร็จภายใน ๒ ปี แต่ในระยะเร่งด่วน ทอท.ได้สนับสนุนงบฯจัดหาเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติให้ ๕๐ เครื่อง จากเดิมมีอยู่ ๑๘ เครื่อง จะใช้ได้ในเดือน ก.ค. จะหมุนเจ้าหน้าที่ไปช่วยที่เคาน์เตอร์ ตม.ขาเข้าได้ ผบ.ตม.มีแนวคิดให้มีระบบตรวจแบบไบโอเมตริกซ์ด้วยลายนิ้วมือและใบหน้า จะต้องนำเครื่องไปตั้งตรงจุดเดินผ่านก่อนเข้ามาถึง ตม.จะยิ่งทำให้รวดเร็วขึ้น จะต้องคุยกับ ทอท.ว่าจะได้สนับสนุนงบฯให้หรือไม่ หรือใช้งบค่าธรรมเนียมของ ตม. ส่วนการลดขั้นตอนได้สั่งในอำนาจที่ทำได้และไม่กระทบกับความมั่นคง เช่น การเดินทางออกนอกประเทศ คนไทยไม่ต้องมานั่งเก็บลายนิ้วมือแล้ว เพราะมีข้อมูลในฐานข้อมูลทะเบียนประวัติอยู่แล้ว เมื่อคนไทยเข้าออกได้เร็วพื้นที่ในการบริหารขาออกก็เพิ่มมากขึ้นจนท.ตื่นตัววัดเคพีไอกันเป็นวินาทีพล.ต.ต.เชิงรณกล่าวอีกว่า ส่วนคนต่างชาติไม่ต้องประทับตราขาออกเพราะใช้ระบบอัตโนมัติได้ว่ามีการตรวจบันทึกข้อมูลเดินทางออก ประหยัดเวลาไปได้ ๑๐ วินาที ส่วนการเดินทางเข้ากำลังทำอยู่ที่เจ้าหน้าที่ต้องบันทึกข้อมูลเที่ยวบินก็ไม่ต้องแล้ว จะแก้ไขโปรแกรมให้ระบบขึ้นโชว์อัตโนมัติจะทำให้เร็วขึ้น การลดขั้นตอนเวลา เช่น อยู่ในประเทศไทยวันที่เท่าไหร่ ในต่างประเทศไม่ทำกันแล้ว เขาจะดูว่าคนๆนี้กับในหนังสือเดินทางตรงกันไหม มีสิทธิ์เข้าประเทศหรือเปล่า ติดแบล็กลิสต์หมายจับหรือไม่ ถ้า ๓ อย่างนี้ไม่มีให้เข้าได้เลย จะประหยัดเวลาไปได้ ๑๕ วินาที เราวัดประสิทธิภาพการทำงานหรือเคพีไอกันเป็นวินาที โดยมาตรฐานในการตรวจคนหนึ่งคนเราใช้ไม่เกิน ๔๕ วินาที แต่ที่ช้าไปรองรับไม่ทัน เพราะผู้โดยสารไหลเข้ามากระจุกตัวที่อาคารผู้โดยสารหลักอย่างเดียว ยิ่งช่วง ๔-๕ โมงเย็น คน ๕,๐๐๐ คน แต่โถงรองรับได้ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ คนต้องล้นแน่ แต่ทั้งหมดเราพร้อมขับเคลื่อนตามนโยบายของนายกฯเต็มที่ “หมออ๋อง” ยันทำหน้าที่ตามร่าง ก.ม.เมื่อเวลา ๑๓.๓๐ น. นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ ๑ เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล ขอพบตัวแทนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ทวงถามร่างกฎหมายการเงินที่ยังค้างอยู่ ๓๑ ฉบับ โดยนายปดิพัทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทำหนังสือประสานมาแล้ว ๒ ครั้ง ยืนยันว่าไม่ใช่การมาบุกตามที่เป็นข่าว แต่เป็นการติดตามความคืบหน้าร่างกฎหมาย เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดว่าแต่ละร่างอยู่ขั้นตอนไหนแล้ว อยากมาขอหารือถึงการทำงานร่วมกัน และมองว่าการที่รัฐมนตรีไม่มาตอบกระทู้ในรัฐสภา สำนักเลขาธิการนายกฯต้องทราบเหตุผล เพราะบางครั้งเอกสารที่แจ้งมายังสภาฯไม่ได้ระบุชัดเจน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมองว่ารุกล้ำอำนาจฝ่ายบริหาร ไม่ได้มากดดันให้เขาเซ็น แต่มองว่าการทำงานร่วมกันมีเรื่องต้องปรับปรุง เมื่อถามว่าการที่รองประธานสภาฯต้องมาเอง แสดงว่าวิปที่ประสานกับรัฐบาลทำงานไม่ตอบโจทย์ใช่หรือไม่ นายปดิพัทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่วิปรัฐบาล แต่ตนมีหน้าที่ดูแลการตรากฎหมายโดยตรงทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล แม้แต่ร่างของพรรคภูมิใจไทยยังค้างอยู่ ยืนยันทำหน้าที่ปกติ ช่วยให้กระบวนการนิติ บัญญัติเป็นไปอย่างถูกต้องย้อนมาคุยทำงานร่วมกันไม่ดีตรงไหนเมื่อถามอีกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีธรรมเนียมที่รองประธานสภาฯต้องมาตามกฎหมายเองแบบนี้ นายปดิพัทธ์กล่าวว่า แล้วไม่ดีตรงไหน มองว่าทำเนียบกับสภาฯควรใกล้ชิดกัน ถ้าทำงานร่วมกันบ่อยๆความไม่เข้าใจกันจะลดลง ไม่คิดว่าต้องวางตัวห่างกัน ฝ่ายบริหารมาที่สภาฯบ่อย ถ้าสภาฯจะมาเยี่ยมฝ่ายบริหารบ้างไม่เห็นจะผิดธรรมเนียมอะไร ขั้นตอนธุรการต้องเนี้ยบกว่านี้ ต้องแจ้งชัดเจนว่าติดภารกิจสำคัญอะไรอย่างไร ต้องมีโอกาสสะท้อนให้ฟัง ไม่ใช่ตอบโต้ผ่านสื่อ เมื่อถามอีกว่าไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรใช่หรือไม่ นายปดิพัทธ์ตอบว่า ไม่มี รีบคุยรีบกลับ ส่วนที่พรรค พท.มองว่าไม่มีมารยาททางการเมือง การมาคุยเพื่อทำงานร่วมกันเป็นเรื่องผิดมารยาทตรงไหน ตนเข้ามาปิดทำเนียบฯหรือ มาไม่สุภาพหรือ ยืนยันมาด้วยเจตนาบริสุทธิ์และขอความร่วมมือเท่านั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังให้สัมภาษณ์เสร็จนายปดิพัทธ์เดินไปหน้าตึกบัญชาการ ๑ รอพบตัวแทน สลน. ระหว่างยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลประจำทำเนียบฯพยายามประสานงานกับเจ้าหน้าที่สลน.ว่าใครจะลงมาพูดคุย นายปดิพัทธ์จึงพูดขึ้นว่า สลน.มีกี่คน ไม่อยู่สักคนเลยเหรอ จากนั้นได้ยกภาพเอกสารที่ส่งมายัง สลน. ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ว่าจะมาสอบถามความคืบหน้าร่างกฎหมายที่ทำเนียบฯ กระทั่งผ่านไปราว ๑๐ นาที คณะของนายจงเจริญ สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการกองงานประสานงานทางการเมือง สลน.ได้เชิญขึ้นไปพูดคุยที่ชั้น ๕ ตึกบัญชาการ ๒ ขณะที่นายจงเจริญกล่าวว่า อยู่ระหว่างรอว่าจะให้ไปพบเมื่อไหร่ เป็นจังหวะหนังสือที่ส่งสวนทางกัน จึงอาจดูขลุกขลักหวั่น รัฐมนตรีแจงเหตุไม่ชัดขัดข้อบังคับจากนั้นเวลา ๑๔.๓๕ น. นายปดิพัทธ์ให้สัมภาษณ์หลังหารือว่า ไม่ได้พบผู้บริหารรัฐบาล เพียงแต่พบเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ได้รับฟังและเข้าใจว่าร่างกฎหมายต้องรับฟังความเห็นหน่วยงานต่างๆเยอะ แต่อยากให้เพิ่มรายละเอียดในเอกสารที่ตอบกลับสภาฯให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น รอหน่วยงาน รัฐบาลส่งไปกี่หน่วยงาน มีหน่วยงานใดตอบแล้ว ยังไม่ตอบมา เพื่อสภาฯจะได้เห็นความชัดเจน รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะได้ประเมินผลฝ่ายกฎหมายตัวเอง ส่วนปัญหาที่รัฐมนตรีไม่ตอบกระทู้ หนังสือที่รัฐมนตรีตอบกลับบอกว่าติดภารกิจไม่สามารถตอบกระทู้ได้ ตามข้อบังคับต้องเขียนว่าเป็นภารกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ที่ผ่านมาทั้งรัฐมนตรีที่ทำได้ดีและไม่ดี บางคนตอบเพียงว่าติดภารกิจ บางคนลงรายละเอียด การไม่บอกรายละเอียดว่าเป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทำผิดข้อบังคับ จึงจำเป็นต้องรายงานต่อสาธารณะ จากนี้ขอให้ทำหนังสือโดยสมบูรณ์ หารือ ๒ ประเด็นวันนี้เขายอมรับข้อเสนอแต่จะทำได้หรือไม่ เป็นเรื่องของ คณะรัฐมนตรีนายกฯยันไม่ละเลยปัญหาไฟใต้เมื่อเวลา ๑๖.๒๕ น. ที่สำนักจุฬาราชมนตรี ถนนคลองเก้า เขตหนองจอก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รัฐมนตรีว่าการกลาโหม เข้าเยี่ยมคารวะ มอบแจกันดอกไม้แสดงยินดีกับนายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ในโอกาสได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนที่ ๑๙ แห่งราชอาณาจักรไทย โดยนายเศรษฐาเปิดเผยว่า ได้พูดคุยเรื่องการลงพื้นที่และพัฒนาศักยภาพ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับจุฬาราชมนตรีฝากให้รัฐบาลพัฒนาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ผู้สื่อข่าวถามว่า สส.พรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่าการลงพื้นที่ ๓ จังหวัดของนายกฯละเลยปัญหาไฟใต้และความยุติธรรมในพื้นที่ นายกฯตอบว่า ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ช่วงเวลา ๖-๗ เดือนที่ผ่านมาที่เราทำงานความรุนแรงในพื้นที่ลดลงเศรษฐกิจ ปากท้องดีขึ้น เชื่อว่าความสงบการทะเลาะเบาะแว้งไม่เกิดขึ้น“อานันท์” แนะอย่าลืมชุมชนแออัด กทม.จากนั้นนายเศรษฐาเปิดเผยว่า ช่วงสายวันที่ ๑ มีนาคมได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศล ม.ร.ว.สดศรี ปันยารชุน ภริยา นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯได้พูดคุยกับอดีตนายกฯ ท่านได้แนะนำเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เรื่องจีนและสหรัฐฯ ขณะเดียวกันได้แนะนำว่าเมื่อไปดูแฟลตตำรวจและแฟลตทหารมาแล้วไปดูความยากจนของพี่น้องต่างจังหวัดมาแล้ว ต้องดูที่ กทม.ด้วย และมีการเตือนสติให้ไปดูที่ชุมชนแออัดทั้งหลาย แต่ไม่มีเวลาช่วงนี้ แต่หลังกลับจากต่างประเทศจะหาเวลาลงพื้นที่และได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันย้อนถาม “หมออ๋อง” ทำถูกต้องไหมเมื่อถามถึงกรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธาน สภาฯ คนที่ ๑ ไปติดตามร่างกฎหมายที่ค้างอยู่กว่า ๓๑ ฉบับจากรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ไม่ทราบเรื่องการดอง ไม่ทราบเรื่องคำศัพท์อะไรพวกนี้ แต่นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯประสานรับเรื่องไว้แล้วคงต้องไปดู เมื่อถามว่านายปดิพัทธ์ไม่ได้ประสานล่วงหน้า ทำให้เกิดภาพยืนรอนานนายเศรษฐาตอบว่า อันนี้ไม่ทราบ ก่อนจะย้อนถามว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องหรือไม่ ที่รองประธานจะบุกมาที่ทำเนียบรัฐบาล ถ้าประสานกันดี บอกเวลา ตนว่าทำเนียบฯเราก็เปิดรับ เราเป็นคนไทย เราต้องรับแขกอยู่แล้ว เมื่อถามย้ำว่ามันไม่ใช่ธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมาใช่หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า มันต้องมีครั้งแรกเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องให้ความเป็นธรรมจะไปดูแลให้ย้ำถ้าอยู่ไทยเข้าสภาฯ ทุกสัปดาห์เมื่อถามถึงกรณี สส.พรรค พท.ออกมายอมรับเองว่า ถ้าวันไหนนายกฯเข้าสภาฯรัฐมนตรีจะแห่กันเข้าสภาฯด้วย นายเศรษฐาตอบว่าจะพยายามเข้าประชุมสภาฯทุกวันพฤหัสบดี ถ้าอยู่ประเทศไทย แต่ถ้าไม่อยู่กำชับมอบอำนาจให้รัฐมนตรีไปตอบแทน หรือถ้าคนแทนไม่ว่างติดภารกิจต้องมอบต่อไปอีกทีหนึ่งเราเป็นรัฐบาลมาจากประชาชน เราต้องให้ความสำคัญกับสภาฯ เมื่อมีข้อสงสัยคลางแคลงใจต้องไปตอบ วันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคมจะสั่งการในที่ประชุม คณะรัฐมนตรีเป็นข้อแรก เมื่อถามว่าเมื่อสั่งการแล้วจะเกิดคำพูดว่านายกฯ ไม่เข้ารัฐมนตรีจะไม่เข้าหรือไม่ นายกฯ ตอบว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น เราเป็นฝ่ายบริหาร หากฝ่ายนิติบัญญัติมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นเราต้องให้ความกระจ่าง “สุทิน” ติงฝ่ายค้านฉะ รัฐมนตรีแรงเกินไปที่กระทรวงกลาโหม นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกลาโหม กล่าวว่า ได้แจ้งไปที่รัฐสภาแล้วว่าติดภารกิจ ไม่สามารถไปตอบกระทู้ได้ขอเป็นรอบหน้า ทุกคนต่างทำหน้าที่ การยื่นกระทู้ถามส่วนใหญ่จะยื่นแบบกระชั้นชิดถือเป็นกลยุทธ์จะบอกเช้าที่ยื่นถาม เพื่อให้รัฐบาลตั้งตัวไม่ทัน หากเราอยู่ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่อยู่ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ไป จ.กาญจนบุรีมีโปรแกรมล่วงหน้าแล้วเลื่อนมา ๒ รอบ เลื่อนอีกน่าจะไม่ดี กรณีประธานวิปรัฐบาล ใช้คำพูดรุนแรงต่อรัฐมนตรีที่ไม่มาตอบกระทู้ว่าถึงเวลาถูกอภิปราย อย่ามาขอคะแนนเสียง ได้โทร.สอบถามประธานวิปรัฐบาลแล้ว บอกว่าพูดในภาพรวมน่าจะมีประมาณ ๗ คน แต่หมายถึงคนอื่นอย่าเหมาเข่งเฉ่ง รัฐมนตรีหนีกระทู้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ กล่าวว่า รัฐมนตรีไม่ไปตอบกระทู้ไม่ใช่เพราะนายกฯไม่อยู่ แต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีเอง ประธานวิปรัฐบาลบ่นออกมา อยากให้เจาะเป็นรายบุคคล อย่าไปพูดถึงภาพรวมอะไรเลย กระทู้เป็นเรื่องของแต่ละกระทรวงที่รัฐมนตรีรับผิดชอบกันอยู่ น่าจะเป็นลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ของตัวบุคคลไม่ใช่ภาพรวม เป็นนิสัยใจคอของรัฐมนตรีแต่ละท่านช่วยกันดู ต้องขยันหน่อย บางทีต้องเข้าใจงานของรัฐมนตรีด้วย อาจมีงานสำคัญที่ต้องไป โดยเฉพาะบางงานที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว ส่วนกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ ระบุการปรับ คณะรัฐมนตรีต้องรอให้รัฐมนตรีได้ใช้งบฯก่อน นายภูมิธรรมอาจได้รับสัญญาณอะไรที่ชัดเจนมา ท่านเป็นผู้ใหญ่เหมือนผู้จัดการ อาจได้รู้มากกว่าท่านอื่น การปรับหรือไม่ปรับ นายกฯ เองไม่อยากพูดเรื่องนี้ อยากให้รัฐมนตรีทุกคนได้ทำงานเต็มที่ เมื่อถามว่าเมื่อ พระราชบัญญัติงบฯเสร็จแล้วสมควรจะปรับ คณะรัฐมนตรีแล้วหรือยัง นายสมศักดิ์ตอบว่า “ก็บอกแล้วว่าไม่ปรับๆ ไม่พูดแล้วไง ไม่อยากพูดเรื่องนี้ ขอให้รัฐมนตรีทุกคนทำงานได้เต็มที่เถอะ ผ่านมา ๕-๖ เดือน เรายังไม่ใช้งบฯ ของปี ๖๗ เลย”“สมคิด” ฉะใช้อารมณ์รุกล้ำฝ่ายบริหารนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯฝ่ายการเมือง กล่าวว่า กรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ ๑ เข้าทำเนียบรัฐบาลติดตามความคืบหน้าร่างกฎหมายการเงินที่นายกฯไม่ยอมลงนามรับรองเพื่อเสนอเข้าสภาฯว่าไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ายนิติบัญญัติจะมารุกไล่ฝ่ายบริหารแบบนี้ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครทำแบบนี้ ยืนยันว่านายกฯไม่เคยดองกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ใช่หน่อไม้เลยไม่รู้ว่าจะดองทำไม แต่กฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายการเงินต้องได้รับการพิจารณาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าทำได้หรือไม่ หากทำไม่ได้นายกฯไม่ลงนามรับรอง อย่างนโยบายเงินผู้สูงอายุของพรรค ก.ก.เดือนละ ๓ พันบาท จะเอางบฯปีละเกือบแสนล้านมาจากตรงไหน นอกจากขึ้นภาษี ๒๐% เขียนมาแต่ปฏิบัติไม่ได้ไม่มีใครเขาทำกัน หากไม่พอใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ ไม่ใช่ใช้อารมณ์บุกมาแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ อย่ามารุกล้ำกัน ไม่เคยมีรองประธานสภาฯคนไหนทำแบบนี้ ผิดธรรมเนียมปฏิบัติมารยาทการเมืองหรือไม่ ต้องไปคิดเอาเองว่าฝ่ายนิติบัญญัติรุกล้ำหรือไม่ หากนายกฯหรือฝ่ายบริหารดำเนินการไม่ถูกต้อง มีช่องทางให้อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา ทั้งนี้ ได้ส่งหนังสือชี้แจงไป ๒ ครั้งแล้ว เชื่อว่าสภาฯไม่เกี่ยวข้องอะไร เป็นเรื่องตัวบุคคล ที่ผ่านมากฎหมายการเงินใช้ ๓-๔ เดือน นายกฯยังไม่ลงนามไม่ได้แปลว่าตก อย่ามาบอกว่าบุกตรวจสอบมันไม่ได้ ไม่ควรไปออกข่าวแบบนั้น กฎหมายการเงินบางฉบับที่ส่งมาเทวดาก็ทำไม่ได้ มีหลายฉบับเขียนมาเพื่อให้ทำไม่ได้ เรื่องนี้นายปดิพัทธ์แค่อยากแอ็กชันแขวะเจ็บเล่นเกินบทนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม รองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า มันไม่ใช่หน้าที่ นายปดิพัทธ์เล่นเกินบทบาท ทำตัวเป็นประธานที่อยู่กับฝ่ายค้าน อย่าให้คนมองว่าเป็นประธานเลือกข้าง ต้องแสดงความเป็นกลางไว้ ไม่เคยเห็นประวัติศาสตร์ที่รองประธานสภาฯมาแถลงข่าวว่ารัฐบาลอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องกฎหมายค้างสภาฯ พรรค ก.ก.มีเวลา เลยทำกฎหมายเข้าสภาฯได้มากกว่าปกติ แต่รัฐบาลต้องให้กฤษฎีกาดูก่อนต้องรอบคอบ ยิ่งกฎหมายเกี่ยวกับการเงินยิ่งต้องรอบคอบ ส่วนที่นายปดิพัทธ์ท้วงติงการไม่ไปตอบกระทู้ของรัฐมนตรี มันเป็นหน้าที่ของประธานวิปฝ่ายค้าน และรัฐมนตรีบางคนต้องทบทวนถ้าเป็นกระทู้สดอาจกลั่นแกล้งกันได้ เช่น รู้ว่ารัฐมนตรีไม่อยู่ก็ยื่นกระทู้ ตอนอยู่ไม่ถาม ส่วนกรณีพรรค ก.ก.ไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเอาข้อมูลอะไรมาอภิปราย ครั้งแรกต้องให้สมศักดิ์ศรี ไม่มีการซูเอี๋ยกัน แต่มันไม่มีประเด็น การอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่ละครั้งเป็นเรื่องใหญ่ของฝ่ายค้าน ถ้ามีประเด็นหรือข้อมูลไม่พอ หลักฐานไม่พอจะเสียคน วันนี้ยังไม่มีงบฯมาให้ทำงาน“อ้วน” ปัดไม่เคยบอกจะปรับ คณะรัฐมนตรีที่กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านออกมาตำหนิรัฐมนตรีหนีกระทู้ถามว่าเป็นหน้าที่จำเป็นของรัฐมนตรีทุกคน แต่รัฐมนตรีต้องทำหน้าที่ฝ่ายบริหารควบคู่กับการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาของประชาชน ขอให้ฝ่ายค้านรับฟังเหตุผลรัฐมนตรี ส่วนตัวหากติดภารกิจจะประสานตัวแทนไปตอบหรือหากจำเป็นจะขอเลื่อนออกไป ส่วนเรื่องปรับ คณะรัฐมนตรีที่เคยระบุว่าอาจประเมินกันหลังร่าง พระราชบัญญัติงบฯปี ๒๕๖๗ ตนไม่ขอพูดเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะจะยิ่งสร้างความสับสน และไม่เคยบอกว่าจะปรับ คณะรัฐมนตรีเดือน มี.ค.-เม.ย. ยืนยันจากที่ได้พูดคุยกับนายกฯ ยังไม่มีวี่แววจะปรับ คณะรัฐมนตรีเลย แต่ ครม. ถ้าใครทำงานไม่ได้ ต้องให้นายกฯเป็นผู้ตัดสิน“ณัฐชา” ชี้ทางโละผู้รับเหมาเก่าทิ้งที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรค ก.ก. กล่าวว่า การก่อสร้างในถนนพระราม ๒ เป็นปัญหาคาราคาซังมานานกว่า ๕๐ ปี นายกฯหยิบยกมาพูดถึงถือเป็นเรื่องที่ดี ตลอดของถนนพระราม ๒ มีพื้นที่ผสมปูนก่อสร้าง หรือแพลนต์ปูนอยู่ในแหล่งชุมชน ๑๘ แพลนต์ ก่อมลภาวะต่อการใช้ชีวิตของประชาชน เมื่อเห็นนายกฯหยิบมาพูดทุกคนต่างตื่นเต้นตกใจ แต่คนที่ใช้ชีวิตอยู่ย่านถนนพระราม ๒ ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่อีกหนึ่งครั้งที่หยิบมาพูดคุยแล้วผ่านไปหรือไม่ เพราะพวกเขาพบเจอแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้านายกฯทำไม่แล้วเสร็จตามที่ รัฐมนตรีว่าการคมนาคมว่าไว้ได้ จะเป็นเครื่องยืนยันว่า ท่านไร้ความสามารถปัญหาถนนพระราม ๒ ต้องหยิบทุกสัญญามาดูว่าสัญญาไหนมีปัญหา ขอให้กล้าที่จะใช้กลไกกฎหมายยกเลิกสัญญา และหาผู้รับเหมารายใหม่ ไม่จำเป็นต้องดองทุกงานไว้ให้ผู้รับเหมาเพียงรายเดียว ที่ผ่านมานายกฯหยิบยกมาคุยหลายเรื่องไม่อยากวิจารณ์ว่าสำเร็จไปแล้วกี่เรื่อง ถ้านายกฯบอกว่า เรื่องนี้จะเสร็จภายในสงกรานต์ปี ๒๕๖๗ ขอเป็นกำลังใจให้“พ่อเก็ท” ยื่นขอปล่อยตัว ๔ ผู้ถูกฝากขังที่ศาลอาญา เวลา ๑๔.๐๐ น. นายเทพดรุณ สุรฤทธิ์ธำรง บิดานายเก็ท โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง พร้อมด้วย น.ส.มริสสา อรุณกิตติชัย น.ส.ธนพร วิจันทร์ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน นายเอกชัย หงส์กังวาน กลุ่มทะลุแก๊ส และกลุ่มมวลชนอิสระจำนวนหนึ่ง เข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เพื่อขอปล่อยตัวผู้ต้องขังนักกิจกรรมทางการเมือง ๔ คน ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี ได้แก่ นายโสภณ หรือเก็ท สุรฤทธิ์ธำรง น.ส.เนติพร หรือบุ้ง เสน่ห์สังคมน.ส.ทานตะวัน หรือตะวัน ตัวตุลานนท์ และนายณัฐนนท์ หรือแฟรงค์ ไชยมหาบุตร โดยระบุเหตุผลว่าตามหลักสากลแล้ว ศาลต้องเห็นว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ถูกกล่าวหา และสันนิษฐานเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่ศาลสั่งฝากขังให้กลายเป็นผู้ต้องขัง จึงเป็นที่กังขาว่า ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่