วันพุธ, 6 พฤศจิกายน 2567

ทีมหาเสียง "โจ ไบเดน" เปิดบัญชี "ติ๊กต่อก" แม้แอปยังถูกแบน

ทีมหาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดตัวบัญชีติ๊กต่อก (TikTok) อย่างเป็นทางการ แม้ว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวจะถูกแบนบนอุปกรณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากข้อกังวลด้านความปลอดภัยแคมเปญหาเสียงของเขาเปิดตัวบัญชีด้วยชื่อผู้ใช้ “@bidenhq” ระหว่างการแข่งขันซุปเปอร์โบว์ลเมื่อวันอาทิตย์ (๑๑ ก.พ.) ในวิดีโอเปิดตัวที่มีคำบรรยายว่า “ฮ่าๆ เฮ้พวก” โดยผู้ช่วยได้ถามคำถามนายไบเดนเกี่ยวกับการแข่งขันซุปเปอร์โบว์ลทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดนได้ลงนามกฎหมายในปี ๒๕๖๕ เพื่อบล็อกอุปกรณ์ของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่ไม่ให้ใช้แอปติ๊กต่อก ขณะที่หลายรัฐยังได้นำมาตรการนี้ไปใช้ด้วย ขณะที่ สส. จากทั้งสองพรรคได้เรียกร้องให้แอปซึ่งเป็นของบริษัท ไบต์แดนซ์ ของจีน ถูกแบนในสหรัฐฯ เนื่องจากความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้อย่างไรก็ตาม แอปดังกล่าวยังคงได้รับความนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่รัฐบาลสหรัฐฯ หวังที่จะกระตุ้นให้ออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่นายไบเดนไม่ได้เป็นผู้ดูแลบัญชีติ๊กต่อกดังกล่าวเอง แต่โดยทีมหาเสียงของเขา เมื่อถูกถามในวิดีโอเปิดตัวว่าเขาเชียร์ทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ หรือซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์สหรือไม่ นายไบเดนกล่าวว่า เขาเชียร์ทีมฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ เพราะไม่เช่นนั้น “ผมอาจจะต้องนอนคนเดียว” เพราะ “ภรรยาของผมเป็นสาวฟิลาเดลเฟีย”นอกจากนี้ เขายังถูกถามเกี่ยวกับทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับเทย์เลอร์ สวิฟต์ ศิลปินชื่อดัง ที่มีผู้อ้างว่าความสัมพันธ์ของนักร้องสาวกับทราวิส เคลซี นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลของทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการโกงการแข่งขันซุปเปอร์โบว์ล และเป็นแผนที่ช่วยให้ไบเดน ได้รับเลือกอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยนายไบเดนพูดติดตลกว่า “ผมจะเดือดร้อนแน่ถ้าผมบอกคุณ” เกี่ยวกับแผนการสมรู้ร่วมคิดนี้ไมเคิล สตาร์ ฮอปกินส์ นักยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยที่ทำงานให้กับแคมเปญการหาเสียงของนายบารัค โอบามา และฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตจำนวนมากลังเลที่จะใช้ติ๊กต่อกเพื่อเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากข้อกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูล แต่เขาบอกว่าผู้สมัครต้องเผชิญกับความจริงที่ว่ามันเป็นแพลตฟอร์มที่พวกเขาสามารถเข้าถึงผู้คนทุกกลุ่มประชากรทีมหาเสียงของนายไบเดนในปี ๒๕๖๗ หวังที่จะกระตุ้นให้กลุ่มคนหนุ่มสาวออกมาใช้สิทธิจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะช่วยให้เขาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประมาณ ๕๐% ของกลุ่มดังกล่าว ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งในปี ๒๕๖๓ ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลและการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของพลเมืองของมหาวิทยาลัยทัฟต์ และผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ ๖๕% ที่มีอายุระหว่าง ๑๘ ถึง ๒๔ ปี ลงคะแนนเสียงให้ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตแต่ผลการสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าแนวร่วมการเลือกตั้งอาจกำลังล่มสลาย ผลสำรวจบางสำนักชี้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อยซึ่งมีแนวโน้มมองว่านายไบเดนสนับสนุนอิสราเอลมากเกินไป ไม่พอใจเกี่ยวกับการรับมือของเขาต่อสงครามในฉนวนกาซา ขณะที่คนอื่นๆ รู้สึกว่าเขาดำเนินมาตรการผ่อนผันเงินกู้เพื่อการศึกษาไม่เพียงพอสิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับนักยุทธศาสตร์จากพรรคเดโมแครต คือผลสำรวจบางสำนักยังพบว่านายไบเดนตามหลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมหาเสียงของนายไบเดนตระหนักดีไคล์ ธาร์ป ผู้เขียนจดหมายข่าวการเมือง FWIW ซึ่งติดตามแนวโน้มทางดิจิทัล การใช้จ่าย และกลยุทธ์ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ กล่าวว่าทีมหาเสียงของไบเดนได้ใช้ประโยชน์จากคนดัง อินฟลูเอนเซอร์รายใหญ่ เพื่อส่งข้อความทางการเมืองไปยังกลุ่มประชากรอายุน้อย ในขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์มีแนวโน้มที่จะลงคะแนนให้พรรคเดโมแครต โดยกล่าวเสริมว่า การสนับสนุนของพวกเขา “อาจสร้างหรือทำลายการเลือกตั้งครั้งนี้”การเชื่อมโยงกับกลุ่มประชากรนั้นถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนายไบเดน ขณะที่อายุของประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย ๘๑ ปี ยังเป็นข้อกังวลหลักสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกวัย และการสำรวจความคิดเห็นระบุว่า กว่า ๗๕% ของผู้ที่คาดว่าจะลงคะแนนเสียงในเดือนพฤศจิกายน เชื่อว่าเขาแก่เกินไปสำหรับตำแหน่งนี้.ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign