วันพุธ, 6 พฤศจิกายน 2567

นายกฯ ย้ำ มาจังหวัดชายแดนใต้ ๓ วัน ลั่น ๓ ปีครึ่ง จะพิสูจน์ความเสมอภาค

“เศรษฐา” ย้ำ ๓ วัน ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นศักยภาพ ชี้ แววตาประชาชน มาต้อนรับเป็นแรงบันดาลใจ ผลักดันรัฐบาลมุ่งมั่น ลั่น ๓ ปีครึ่งที่เหลือ จะพิสูจน์ความเสมอภาค โอกาส ประชาชน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อเวลา ๑๒.๑๕ น. วันที่ ๒๙ ก.พ. ที่จ.นราธิวาส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ลงพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นแหล่งดึงดูดการท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย หากพัฒนาให้ดีจะเป็นจุดหนึ่งที่สามารถเป็นจุดท่องเที่ยวของชาวโลกได้ด้วย สำหรับด่านศุลกากรที่เบตง มีความคับแคบจะต้องมีการพัฒนาต่อไป ซึ่งระยะหลังมีการเปลี่ยนวิธีการ ปลูกพืชเศรษฐกิจจากยางพารา มาเป็นผลไม้ โดย เฉพาะทุเรียน ซึ่งมีความต้องการสูงมากจากทั่วโลก ฉะนั้น ด่านนี้จะต้องมีการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของเกษตรกรและเกษตรกรรม ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ต้องมีการขยายเลนทางเข้าและออก อาจรวมไปถึงห้องเย็นด้วย ตรงนี้รัฐบาลให้ความสำคัญ และได้มีการสั่งการแล้วจะให้ดำเนินการขยายด่านศุลกากรนี้รวมถึง ตม.๖ ที่ทำไปแล้วที่ด่านสะเดา สงขลา ทำให้นักท่องเที่ยวแต่ละสัปดาห์เพิ่มขึ้น ๓ เท่า ทำให้การค้าหมุนเวียนได้ดีขึ้นมาก จึงได้สั่งการไปที่ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ และรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ให้ไปปรับทุกด่าน ยกเลิก ตม.๖ ทำให้การเข้าเมืองสะดวกสบายยิ่งขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเดียว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็เช่นกัน นายเศรษฐา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงเรื่องของการขยายถนนจาก จ.ยะลา ไปจังหวัดอื่น ไม่ว่าจะเป็นทางหลวง ๔๑๐ หรือการเจาะอุโมงค์ ที่จะทำให้การจราจรดีขึ้น ตรงนี้อยู่ในแผนงานของรมว.คมนาคม อยู่แล้ว โอกาสนี้ ตนยังได้ไปเดินที่ อ.เบตง มีโอกาสได้ไปทานข้าวเห็นความคึกคัก ความปลอดภัย และรอยยิ้มของพี่น้องที่มอบให้กับคณะของตนที่เดินทางลงมาในพื้นที่และเห็นศักยภาพของอ.เบตง แน่นอน เรื่องการท่องเที่ยวในอนาคตคิดว่า โรงแรมไม่เพียงพอ ซึ่งได้มีการเรียกร้องมาแล้วว่า จะทำอย่างไรต่อไป ปัญหาใหญ่เมื่อมีโอกาสแล้วจะมีแหล่งเงินทุนเพียงพอหรือเปล่า อันนี้เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องไปตรวจสอบให้แน่ใจกับธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารอิสลาม ให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เป็นแหล่งทุนที่ดีให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ มา จ.นราธิวาส เป็นครั้งที่ ๒ โดยครั้งแรกมาเมื่อปลายปี ดูเรื่องน้ำท่วม วันนี้มาได้ดูได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างถึงวัฒนธรรมที่ดี ได้ไปวัด และมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่า ประเทศไทย มีนักซ่อมคัมภีร์ศาสนาอิสลามระดับโลกอยู่ ๒ คน ซึ่งคัมภีร์ต่างๆ ถูกส่งกลับมาซ่อมที่นี่ จึงได้บอกทางกระทรวงการต่างประเทศว่า ต่อไปนี้เราจะต้องโปรโมตเรื่องนี้ และมีการสนับสนุนให้คนที่มีความสามารถในการที่จะซ่อมหรือเย็บเล่มคัมภีร์เหล่านี้ได้ อย่างที่ตนได้บอกว่า การมาที่แห่งนี้ อยากจะอยู่นานกว่านี้ เพราะมีคัมภีร์โบราณมากเป็นพันปีก็มีทำด้วยหนังแพะ และอยากจะฟังประวัติศาสตร์ให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน การมา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน ๓ วันนี้ ได้เห็นถึงศักยภาพที่ดี ส่วนเวลาที่มาตนคิดว่าเหมาะสม และอีกสัปดาห์หนึ่งก็จะเข้าสู่เทศกาลของเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเทศกาลที่ต้องมีความอดทน อดกลั้น และเป็นเทศกาล การให้อภัย ซึ่งตนขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุข และภูมิภาคนี้จะได้รับการดูแลให้มีความเสมอภาค มีความเท่าเทียม การที่บอกว่า อยู่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำไมถึงไม่ได้ความเท่าเทียม ตนคิดว่า ไม่เป็นความตั้งใจของรัฐบาลนี้ และใน ๓ ปีครึ่งที่เหลือรัฐบาลนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ความเสมอภาค ความเท่าเทียม โอกาส ที่ประชาชนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้พึงได้รับผลกระทบต่างๆ ที่เกิดมาในอดีต จะพยายามแก้ไขและมองไปข้างหน้า ได้เห็นถึงแววตาที่มาต้อนรับการมาลงพื้นที่ของพวกตนได้รับความซาบซึ้งเป็นแรงบันดาลใจให้ผลักดัน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปถึงศักยภาพ ไปถึงจุดที่เขาสามารถไปถึงได้ อันนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้จะมุ่งมั่นและทำต่อไป นายกฯ กล่าวย้ำว่า จุดประสงค์ในการมาลงพื้นที่ครั้งนี้ เน้นเรื่องศักยภาพของเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องความไม่มั่นคง เกือบไม่มีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเชื่อว่า การที่เราได้ไปเมืองต่างๆ ได้เห็นนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างมโหฬาร ฉะนั้นตรงนี้เชื่อว่า นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่พยายามเข้ามาดูแลเรื่องของประชาชนเรื่องของรัฐบาลที่ต่างคนต่างทำ ตอนนี้เมื่อรัฐบาลเข้ามาแล้วก็เป็นตัวเชื่อมให้ทุกท่าน เข้าใจว่ามีความจริงใจและใส่ใจในการพัฒนาพื้นที่ให้ก้าวไปสู่ศักยภาพที่สามารถเป็นไปได้ ผู้สื่อข่าวถามถึงการพูดคุยสันติภาพนโยบายของพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีนโยบายพรรคพท. มีนโยบายของรัฐบาลเรามีการพูดคุยกันไปโดยที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พูดคุย ทำงานควบคู่กับฝ่ายการต่างประเทศด้วย ซึ่งได้มีการพูดคุยกันตลอด เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่จะยกระดับสนามบินนราธิวาส เป็นสนามบินนานาชาติ เพราะเป็นสนามบินหลักของพี่น้องชาวมุสลิม ที่จะไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่สำคัญพี่น้องชาวมาเลเซียก็มาใช้ นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าไม่ใช่แค่มาเลเซียอย่างเดียว สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ด้วย ซึ่งที่มาตนได้เห็นถึงศักยภาพอยู่แล้ว โดยรัฐบาลและกระทรวงที่เกี่ยวข้องจะพยายามพัฒนาจุดท่องเที่ยวต่างๆ ให้เป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว โดยเริ่มแรกต้องเพิ่มไฟลต์ ส่วนเรื่องด่านศุลกากรตรวจคนเข้าเมืองตนคิดว่าไม่มีปัญหา ตรงนี้เราอยากให้พี่น้องที่จะเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย สามารถบินจองได้เหมือนกัน