นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว “ขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการตี ๔” นำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กำลังเป็นประเด็นถูกหยิบมาพูดกันอีก เมื่อมีการผลักดันขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไปให้สอดคล้องกับนโยบายนี้ทำให้เครือข่ายภาคประชาชนเคลื่อนไหว “คัดค้านขยายเวลาขายน้ำเมา” เพราะเกรงเกิดปัญหาทางสังคม และอาชญากรรมโดยเฉพาะการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับสูงขึ้น นับแต่ขยายเวลาปิดสถานบริการตี ๔ มานี้อ้างอิงจาก “ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด” ที่เก็บสถิติการเสียชีวิตทั้งวันของเดือน มกราคม๒๕๖๗ อยู่ที่ ๒๐๕ ราย เพิ่มจากปี ๒๕๖๖ จำนวน ๔๙ ราย ถ้าดูเฉพาะ ๐๒.๐๐-๐๕.๕๙ น. เสียชีวิต ๑๘ ราย เพิ่มจากปี ๒๕๖๖ จำนวน ๘ ราย คิดเป็น ๘๐% แยกเป็น กทม. ๓ ราย เชียงใหม่ ๓ ราย ชลบุรี ๑ ราย ภูเก็ต ๑ รายอย่างเหตุล่าสุดเวลา ๐๔.๒๐ น.วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๗ “ตำรวจจราจรกลาง” ตั้งด่านถนนพระราม ๔ หนุ่มเมาจากผับหลังสวนลุมพินีขับเก๋งแหกด่านชนตำรวจเสียชีวิตวัดแอลกอฮอล์ ๑๘๗ มิลลิกรัม% ทำให้การขยายเวลาขายเหล้า-เบียร์ต้องติดตามใกล้ชิด สะท้อนผ่าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผจก.ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน บอกว่า นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ตามข้อมูล “บ.กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฯ” จะเห็นว่าในช่วงการขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการพื้นที่ ๔ จังหวัดนำร่อง ตั้งแต่ ๐๒.๐๐-๐๖.๐๐ น. มีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ๑๘ ราย เพิ่มจากปีที่แล้ว ๘ ราย สอดคล้องกับข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๖-๓๑ ธันวาคม๒๕๖๖ ก็มีสถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นเช่นกันทว่าแม้ตัวเลขเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นนี้ “รัฐบาลกลับไม่มีมาตรการป้องกันใหม่ๆ” ที่จะเข้ามายับยั้งความสูญเสียให้น้อยลงด้วยซ้ำ อย่างเช่น “มาตรการต้นน้ำ” ด้วยสถานบริการเข้าเกณฑ์อนุญาต ๑,๔๐๐ กว่าแห่งนี้ ก็ไม่ปรากฏตัวเลขร้านใดสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้ได้อย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นการวัดแอลกอฮอล์ลูกค้า การห้ามขายเครื่องดื่มให้เด็กต่ำกว่า ๒๐ ปี และคนเมาคุมสติไม่ได้ หรือลูกค้ามีแอลกอฮอล์เกิน ๕๐ มิลลิกรัม% ต้องจัดหาที่พักคอยไว้หากลูกค้าไม่ยอมพักต้องหาคนขับขี่แทนนั้นเรื่องนี้เท่าที่ติดตามมาเกือบ ๓ เดือน กลับไม่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ให้สังคมสืบค้นได้ว่า “หน่วยงานภาครัฐสามารถควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรัดกุม” ส่วนหนึ่งเพราะเครื่องมือในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ยังเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ “ราคาสูง” ทำให้สถานบริการมีอุปกรณ์พร้อมใช้เพียง ๕-๑๐%แม้แต่ “มาตรการกลางน้ำ” สำหรับการบังคับใช้กฎหมายในการขยายเวลา หรือเพิ่มการตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับก็ไม่ต่างไปจากเดิม ยิ่งกว่านั้นร้านขายสุราขออนุญาตกับกรมสรรพสามิตมีอยู่ ๘ หมื่นแห่งใน ๔ จังหวัดนำร่องกลับยังปล่อยปละละเลย “บางแห่งผสมโรงปิดตี ๔” กลายเป็นช่องว่างให้คนเมาแล้วขับมาอยู่บนถนนมากขึ้นย้ำด้วย “เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว” ที่ถูกกล่าวอ้างในการขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการตี ๔ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการร้านค้า การจ้างงาน และเม็ดเงินกระจายสู่สังคมก็ไม่มีตัวเลขชัดเจนเช่นกัน สรุปคือ “นโยบายขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการตี ๔ นำร่อง ๔ จังหวัด” ยังไม่ปรากฏมาตรการป้องกันอุบัติเหตุพอเพียงต่อ “การสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนอุ่นใจ” แถมตัวเลขอุบัติเหตุมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเมื่อเป็นประการเช่นนี้ “รัฐบาลกลับพยายามเดินหน้าขยายเปิดปิดสถานบริการไปทั่วประเทศ” ด้วยเหตุผลมาจากกลุ่มทุนธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองต่างพยายามเคลื่อนไหวเรียกร้องผลักดันให้ “เปิดสถานบริการถึงตี ๔ ครอบคลุมทั่วประเทศ” ด้วยแผนยุทธศาสตร์บันได ๓ ขั้น คือขั้นแรก… “นำร่องใน ๔ จังหวัด” ด้วยการชูนโยบายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในการใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มมากขึ้น และเพิ่มรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานบันเทิง ร้านอาหาร และผู้ให้บริการขนส่ง รวมถึงการสร้างรายให้กับประชาชนในพื้นที่ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ ๑๕ ธันวาคม๒๕๖๖ อันเป็นลักษณะของการโยนหินถามทางดู “กระแสตอบรับจาก ๔ จังหวัดนำร่องนี้” เพราะหากประกาศขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการตี ๔ พร้อมกันทั่วประเทศจะส่งผลให้สังคมออกมาคัดค้านต่อต้านรุนแรงได้เมื่อผลตอบรับดีก็เข้าบันไดขั้นที่ ๒…“เสนอขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ด้วยปัจจุบันภายใต้ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.๒๕๕๑ อนุญาตให้ขายได้ ๒ ช่วง คือ เวลา ๑๑.๐๐-๑๔.๐๐ น. และเวลา ๑๗.๐๐-๒๔.๐๐ น. กลายเป็นอุปสรรคจำกัดนักท่องเที่ยวมีเวลาสั่งเครื่องดื่มได้ถึงเที่ยงคืนเท่านั้นทำให้ถูกนำมาเป็นข้ออ้างเสนอ “ขอยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด” โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีออกหนังสือเร่งด่วนไปยัง “รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข” พิจารณาความเหมาะสม และเป็นไปได้ในการขยายกำหนดเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไป เพื่อสอดคล้องเวลาเปิดปิดสถานบริการตั้งในเขตท้องที่นำร่องตามมติ ครม. วันที่ ๒๖ ธันวาคม๒๕๖๖ แล้วหนังสือฉบับนี้ระบุชัดว่า นโยบายเปิดสถานบริการตี ๔ นำร่องมาตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม๒๕๖๖ “ผลดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างดี” จนมีคำถามว่า ทำไม คณะรัฐมนตรีทึกทักเอาเองไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะสวนทางกับความจริงมากกระทั่งกลางเดือน กุมภาพันธ์๒๕๖๗ “รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข” ประธานกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประชุมพิจารณามีมติไม่ขยาย เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มิใช่สินค้าทั่วไปต้องมีการควบคุม เนื่องจากมีผลกระทบทางสังคม และสุขภาพ โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับในจังหวัดนำร่องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นฉะนั้นข้อมูลนี้ก็ถูกเสนอต่อ “คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ” ก่อนมีมติตั้งคณะทำการศึกษาข้อมูลกำหนดกรอบเวลาการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไปอย่างรอบคอบรอบด้านกลายเป็นกระทบต่อบันไดขั้นที่ ๓…“อันจะเสนอพิจารณาให้สถานบริการเปิดปิดตี ๔ พร้อมกันทั่วประเทศ” ต้องสะดุดชะลอลงชั่วคราวแล้วก็เชื่อว่า “กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม” จะสามารถผลักดันนโยบายนี้ไปได้ ด้วยการหยิบยกการกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประเทศ ผู้ประกอบธุรกิจ และประชาชนในพื้นที่ถ้าเป็นเช่นนั้นอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต มีแนวโน้มสูงขึ้น ๒ เท่า เพราะตัวแปรการเปิดขายสุรา ๒๔ ชม.บวกกับการขยายเวลาปิดสถานบริการตี ๔ ทั่วประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นทั้งสิ้น แต่ขณะที่มาตรการป้องกันรองรับนโยบายนี้กลับไม่มีอะไรใหม่เพิ่มเติม “สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นการเตรียมการเป็นขั้นตอนของกลุ่มธุรกิจและรัฐบาลโดยเฉพาะหลังการอนุญาตขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการตี ๔ นำร่อง ๔ จังหวัดเพียงไม่กี่วัน คณะรัฐมนตรีก็มีหนังสือถึงกระทรวงสาธารณสุขให้พิจารณายกเลิกกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่ม เพื่อให้สอดคล้องนโยบายขยายเวลาปิดสถานบริการนั้น” นพ.ธนะพงศ์ ว่าสุดท้ายถ้าบันได ๓ ขั้นบรรลุเป้าหมายขอเสนอ “รัฐบาล” มีหลักประกันมาตรการสกัดกั้นไม่ให้คนเมาขับรถบนท้องถนนได้แล้วถ้าเกิดผลกระทบกับประชาชน “ควรต้องมีผู้รับผิดชอบ” อย่างกรณีตำรวจกก.๕ บก.จร.ถูกคนเมาจากเที่ยวผับขับรถชนเสียชีวิตถนนพระราม ๔ หากเป็นไปได้กลุ่มธุรกิจสุราควรร่วมรับผิดชอบด้วยหรือไม่ดั่งแคมเปญโฆษณาของผู้ผลิตแอลกอฮอล์ มักได้ยินคำว่า “ดื่มอย่างรับผิดชอบ” แล้วด้วยการเกิดอุบัติเหตุมักมีปัจจัยจากแอลกอฮอล์ “กลับไม่เคยมีเครื่องดื่มยี่ห้อใดต้องรับผิดชอบ” ดังนั้น รัฐบาลต้องศึกษาข้อดี-ข้อเสียให้รอบด้านก่อนออกนโยบายขยายเวลาขายเครื่องดื่ม หรือขยายพื้นที่เปิดปิดสถานบริการทั่วประเทศนี่คือบันได ๓ ขั้น กลไกการผลักดัน “ขยายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ๒๔ ชม.” ที่จะส่งผลให้ประชาชนต้องเผชิญความเสี่ยงอุบัติเหตุจาก “นักดื่มที่เพิ่มขึ้น” นำไปสู่การได้ไม่คุ้มเสียตามมา. ผลักดันคลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า ๑” เพิ่มเติม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง