วันพุธ, 6 พฤศจิกายน 2567

พม.ถวายกำลังใจกรมสมเด็จพระเทพฯ “วราวุธ” ยัน ไม่ใช่การดึงสถาบันมาเอี่ยวการเมือง

รัฐมนตรีว่าการพม. นำข้าราชการกว่า ๗๐๐ ชีวิต อ่านแถลงการณ์ แสดงความจงรักภักดีแด่กรมสมเด็จพระเทพฯ แสดงพลัง ถวายกำลังใจ ยัน การทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นการดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ยอมเด็ดขาด นิรโทษกรรม ม.๑๑๒วันที่ ๑๕ ก.พ. ๒๕๖๗ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวแถลงการณ์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องขอพระราชทานน้อมแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมี นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. นายนิกร จำนง ประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. คณะที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการพม. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. จำนวนกว่า ๗๐๐ คน เข้าร่วมพิธีนายวราวุธ อ่านแถลงการณ์ฯ ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นสถาบันหลักของชาติ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน การรักษาความมั่นคงสถาบันหลักของชาติ ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ให้ดำรงอยู่คู่ประเทศชาติอย่างมั่นคงตลอดไป ทั้งนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ และทรงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการศึกษา ด้านการอนุรักษ์-ศิลปวัฒนธรรมไทย ด้านการพัฒนาสังคม ด้านการต่างประเทศ ด้านการสาธารณสุข ด้านการศาสนา รวมถึงโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณารับสมาคม สถาบัน และองค์กรต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริ หรือองค์กรต่างๆ ที่ช่วยเหลือและพัฒนาประชาชนไว้ในพระราชูปถัมภ์จำนวนมาก โดยทรงให้การสนับสนุนสมทบทุนจัดตั้งเป็น “กองทุนการกุศลสมเด็จพระเทพฯ” เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ยากเดือดร้อน ผู้ด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลน และสาธารณประโยชน์ต่างๆ แก่ประชาชนคนไทยและประเทศเพื่อนบ้านจนเป็นที่ประจักษ์ นายวราวุธ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การทำเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่การที่พวกเราทุกคนล้วนเป็นพสกนิกรชาวไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทั้งนั้น แต่ละคนพึงกระทำหน้าที่ของแต่ละคน พึงกระทำหน้าที่ตามอำนาจที่ตัวเองมีอยู่ในมือ เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอญัตติด่วนในสภา ก็เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของตนเอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี และความรักในสถาบัน และที่สำคัญที่สุดเราจะไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่ดูหมิ่นในสถาบันอันเป็นที่รักของเราเด็ดขาด พวกเราทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี และความรักที่เรามีในสถาบัน ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีการเสนอให้นิรโทษกรรม ม.๑๑๒ นายวราวุธ กล่าวว่า วันนี้คนทั่งประเทศได้แสดงพลังให้เห็นแล้วว่าพวกเราจะไม่ยอมเด็ดขาดที่จะให้ใครมาลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศใด อายุเท่าไร คนชาติไหน ถ้าจะมาดูหมิ่นหรือปองร้ายหรือทำอะไรที่เป็นที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา เราไม่ยอมเด็ดขาด ไม่ได้เป็นการท้าทาย ไม่ได้เป็นการสู้รบตบมือ แต่เป็นการปกป้องสถาบันที่เรามี นายวราวุธ ยังกล่าวอีกว่า ประเทศไทยของเราการที่จะเดินไปข้างหน้าได้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยวิสัย พลังของคนรุ่น แต่ต้องไม่ลืมว่าการที่ประเทศเราเดินหน้ามาถึงวันนี้ได้เป็นเพราะคนรุ่นก่อนๆ บรรพบุรุษของพวกเรา และที่สำคัญที่สุดภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ได้สร้างคุณูปการให้กับแผ่นดินไทย มาตั้งแต่เป็นสยามประเทศจนถึงวันนี้ ตนเชื่อว่าหากไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศไทยจะไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด ดังนั้น การที่จะจะเดินไปข้างหน้าแน่นอนว่าเราต้องใช้พลังของคนรุ่นใหม่ แต่ขอให้พึงตระหนักว่าเรามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ดี ไม่สมบูรณ์ เป็นอย่างที่คนกลุ่มหนึ่งคิด ประเทศไทยไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน สิ่งที่อยู่กับแผ่นดินไทยมาช้านาน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ที่พวกเราจะหวงแหน และรักษายิ่งเท่าชีวิต