“ยึดหลักไม่เป็นศัตรูกับใคร ทำให้ทุกคนรักเรา”ท่วงท่าทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เจ้าของสโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” หลังประเดิมขยับทำกิจกรรมพรรค พปชร.สัญจรนัดแรก จ.เพชรบูรณ์ เป็นพื้นที่ที่พรรค พปชร.ได้ สส.ยกจังหวัดหลายคนเตะตา “ลุงป้อม” หุ่นดีขึ้นผิดหูผิดตา ได้แง้มเคล็ดลับ “๓ เดือน ผมอดข้าวมื้อเช้า แต่ดื่มกาแฟ ผลไม้นิดหน่อย ก็ทำงานได้แล้ว อดข้าวมื้อเย็น กินมื้อกลางวัน ซึ่งบางมื้อก็ก๋วยเตี๋ยวชามเดียว หรือครึ่งชาม ถ้ายังหิวอยู่ กินฝรั่งอีกสักชิ้นสองชิ้น น้ำหนักลดลงเหลือ ๗๔ กก. เดิมอยู่ที่ ๘๙ กก. ความจำเป็นปกติ”ทั้งหมดเกิดจากแพทย์แนะนำให้ลดน้ำหนัก จะได้เดินสะดวกยิ่งขึ้น เพราะขารับน้ำหนักไม่ไหว โดยเฉพาะขาซ้าย ข้อเท้าเจ็บมากเมื่อร่างกายฟิตมากขึ้น คอการเมืองก็จับตาดูความเคลื่อนไหว ของ “ลุงป้อม” ที่บอกกับ “ทีมการเมือง” ย้ำจุดยืนก้าวข้ามความขัดแย้ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนตลอดไปเห็นได้จากพรรค พปชร.ได้นำนโยบายเข้าไปดำเนินงานผลักดันให้ออกมาได้สำเร็จ ผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุขอาทิ ส.ป.ก.๔-๐๑ เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร การบริหารน้ำอย่างยั่งยืน ในอดีตที่เป็นรองนายกฯ ได้ทำสำเร็จในหลายพื้นที่ แก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โครงการน้ำบาดาล ก็เร่งทำ แต่หมดเวลาของรัฐบาลเสียก่อนต่อไปยังต้องไป จ.พะเยาอีกที่ได้ สส.ยกจังหวัด และยังเป็นจังหวัดที่เปิดโมเดลโครงการ ปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิและชุมชน หรือปฏิรูประบบสาธารณสุขแบบครบวงจรนโยบายนี้ “ลุงป้อม” วางคนคอยตามดูแล และมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข รองหัวหน้า พปชร. ผลักดัน จับมือกับมูลนิธิแพทย์ชนบท เครือข่ายและท้องถิ่นที่เข้มแข็งเข้ามาเสริม เพิ่งประชุมคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิครั้งแรกไป มี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นประธานหัวใจโครงการนี้ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยให้ทั่วถึง เท่าเทียม ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การสร้างเมืองหลวงแห่งความมั่นคงด้านสุขภาพ ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันก่อนป่วย ไม่ให้เกิดโรคร้ายแรง ดูแลสุขภาพในระดับปฐมภูมิ ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในระยะยาวtt ttใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการทางสุขภาพ เช่น Telemedicine พาหมอไปหา เอายาไปส่ง และ Health Link ระบบคลังข้อมูลผู้ป่วยป่วยที่ไหน สามารถรักษาตัวที่นั่น ในกรณีฉุกเฉิน เร่งด่วน เพื่อการเข้าถึงประวัติการรักษาของคนไข้ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหรือสั่งตรวจวินิจฉัยซ้ำระบบข้อมูลนี้ ยังเชื่อมโยงถึงระบบฐานข้อมูล เพื่อการจัดการทรัพยากรทางสาธารณสุข ทำให้ลดภาระงานของบุคลากรในการลงข้อมูลซ้ำซ้อน ได้มีเวลาในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้นรวมไปถึงยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้มีคุณภาพเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เจ็บป่วยเข้ารับการวินิจฉัย และรักษาได้ที่ รพ.สต. ใกล้บ้านทุกแห่ง มีเทคโนโลยีช่วยเชื่อมต่อการรักษา จาก รพ.สต. ถึงโรงพยาบาลใหญ่ ให้มีบทบาทมากขึ้น ทั้งคัดกรองโรค และส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก พร้อมจัดสรรงบประมาณลงสู่ชุมชน เพื่อส่งเสริมสุขภาพอย่างครบวงจรพร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลานในชุมชน ได้เรียนแพทย์ พยาบาล เพื่อกลับมาดูแลพ่อแม่ในบ้านเกิด ตามมาตรการเชิงรุกป้องกันก่อนป่วย และขยายหมอชุมชนหรือ อสม. ให้เพียงพอกับประชาชนในพื้นที่สอดคล้องกับการเร่งผลิต และฝึกอบรมอาสาสมัคร “บริบาลท้องถิ่น” ๑ แสนคน ดูแลผู้สูงอายุติดเตียงและติดบ้านที่มีอาการหนัก ๓ แสนคนทั่วประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปรับค่าตอบแทนสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องดูดเสมหะ ที่นอนลม เครื่องผลิตออกซิเจน อุปกรณ์ทำแผลสายสวน เป็นต้นเป็นไปตามการปฏิรูปด้านสาธารณสุข ที่ญัตติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งเร่งพัฒนาระบบสุขภาพที่ให้ความสำคัญต่อการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ ปฏิรูปการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพ ให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน มีความเสมอภาค เป็นธรรม เพียงพอ ยั่งยืนเพราะกองทุนสวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนประกันสุขภาพถ้วนหน้า ยังมีความเหลื่อมล้ำกันมากเจตนารมณ์ต้องการให้ “รัฐบาลและรัฐ” มุ่งทุ่มเท ทรัพยากรงบประมาณไปที่ระบบบริการที่เชื่อมต่อกับชุมชน นั่นคือโรงพยาบาลชุมชน ระดับอำเภอ รพ.สต. มุ่งไปที่อาสาสมัครนับล้านคน ผู้นำชุมชนที่มีจิตอาสาอีกหลายล้านคน เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนที่อาศัยในประเทศไทย สามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพอย่างทั่วถึงประเดิมดำเนินการใน ๑๐ จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อให้มีความหลากหลายของพื้นที่ และระดับครอบคลุมทุกภาคในระดับชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด และนำองค์ความรู้จากพื้นที่ใน ๑๐ จังหวัดมาปรับใช้กับ “พะเยา โมเดล” ในฐานะจังหวัดนำร่องปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ และชุมชน นับเป็นจังหวัดแรกของประเทศ เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับเข้มแข็ง มีเอกภาพทั้งการเมืองระดับท้องถิ่น และระดับชาติโดยใช้รูปธรรมนำร่อง ทั้งระบบดูแลผู้สูงอายุติดเตียง และบ้าน ระบบสนับสนุนการพัฒนาการเด็กปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มะเร็งปากมดลูก และกิจกรรมอื่นๆตามที่เห็นสมควรและ “นาทวีโมเดล” จ.สงขลา เป็นอำเภอนำร่องการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ และชุมชน ที่มีระบบสุขภาพปฐมภูมิเข้มแข็งระดับหนึ่งเป็นทุนเดิมปลดภาระออกไปหมดรู้สึกอย่างไร หลังอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองมายาวกว่าทศวรรษ โดยเฉพาะตำแหน่งรองนายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการชุดต่างๆเยอะมาก พล.อ.ประวิตร บอกว่า เป็นมาทั้งหมด ๑๓ ปี โดยตอนเป็นรองนายกฯ ประธานคณะกรรมการชุดต่างๆ ถึง ๗๗ คณะ ประชุมเช้า บ่ายทุกวัน ตอนนั้นเต็มที่ตอนนี้ผมห่วงพรรค พปชร.อยากให้เป็นสถาบันการเมือง เป็นพรรคหลักของประเทศ อยากสอนคนรุ่นใหม่ให้รัก และคิดดีต่อประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันที่ต้องอยู่กับประเทศชาติ และประชาชนตลอดไปสถาบันเป็นหลักชัยให้กับประเทศ และประชาชนtt ttลดน้ำหนัก เพื่อต้องการนำพรรค พปชร.เดินไปข้างหน้า สมัยก่อนยังมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทุกคนมั่นใจ ๑๐๐% อยู่กับพรรคที่ปกป้องสถาบัน แต่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ปลอดจากการเมือง เหลือ “ลุงป้อม” ที่ต้องเป็นผู้นำปกป้องสถาบัน พล.อ.ประวิตร บอกว่า…“พล.อ.ประยุทธ์ ก็มาหาผม โดยบอกกับผมว่า มีพี่คนเดียวที่เป็นหลักปกป้องสถาบัน ผมบอกก็ช่วยกัน ทุกคนก็รักประเทศชาติ รักสถาบัน แต่พวกที่ไม่หวังดีกับประชาชน ไม่หวังดีต่อสถาบัน ผมว่าคิดไม่ถูก ประเทศเกิดมาจากสถาบัน”มีบางฝ่ายเรียกร้องให้ “ลุงป้อม” เป็นผู้นำ เพื่อมาดำเนินการเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงก่อน สว.จะหมดวาระ ๑๑ พฤษภาคม ๖๗ ยังมีโอกาส พล.อ.ประวิตร บอกว่าไม่รู้ๆๆ ไม่เกี่ยวกันหรอก อย่าเพิ่งไปถึงนั้นเลยไม่คิดเป็นใหญ่เป็นโต อยู่มาเป็น ๑๐ ปี ไม่เคยคิดจริงๆคิดเพียงทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีรายได้พอสมควร อยู่ได้ อยากให้รัฐบาลที่ได้พยายามทำทุกอย่างช่วยประชาชนที่ยากจนให้สามารถอยู่ได้ อยู่ดีกินดีมีกระแสข่าว “ลุงป้อม” จะวางมือทางการเมืองให้คนอื่นขึ้นมาแทน แต่ตอนนี้วางมือทางการเมืองไม่ได้แน่นอนพล.อ.ประวิตร บอกว่า ถูก ขณะนี้ยังดูแลพรรค พปชร. ไปประชุมพรรคสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และยังลงพื้นที่ต่างจังหวัดไปดูว่า ได้ทำอะไรไปแล้วบ้างให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำ“ทีมการเมือง” ถามว่าห่วงปัญหาการเมืองเดิมๆ จะกลับมาอย่างไร เมื่อดูจากปัจจัยที่ “ลุงป้อม” สัมผัส เช่น กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ชุมนุมปักหลักค้างคืนหน้าทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องประเด็นกระบวนการยุติธรรม ชั้น ๑๔ ที่โรงพยาบาลตำรวจ พล.อ.ประวิตร บอกว่า……ผมไม่กล้าพูด เพราะไม่รู้กองทัพคิดอย่างไรไม่อยากให้เป็นแบบเหตุการณ์ปี ๕๓ ก็พอแล้ว.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม