สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงลุกลามขยายวงในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ประเทศต่างๆ ต้องมาคุยกันเพื่อหาแนวทางคลี่คลาย จึงเป็นเรื่องน่าฉงนยิ่งนักที่ทุกคนพร้อมจะคุยเรื่องตะวันออกกลาง คาบสมุทรเกาหลี ไปจนถึงเมียนมา แต่ไม่อยากถกเถียงกันเรื่อง “ยูเครน”นับเป็นคำอธิบายอีกครั้งจาก “เยฟกินี โทมิคิน” เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยที่เปิดสถานเอกอัครราชทูตฯ ถนนทรัพย์ ต้อนรับทีมข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และแจกแจงมุมมองของรัสเซียต่อสถานการณ์โลก รวมถึงสงครามยูเครนที่มีกำหนดครบรอบ ๒ ปีเต็ม ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ความขัดแย้งในยูเครนถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา มีความพยายามหาแนวทางเสนอไอเดียมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “สันติภาพ” แต่สุดท้ายแล้วควรยึดในหลักสภาพความเป็นจริง ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับเราที่ได้เห็นหลายๆประเทศกำลังวนเวียนอยู่ในภาพลวงตานำเสนอแนวทางสู่การหยุดยิงและการสงบศึกที่เป็นไปไม่ได้ นั่นคือการเอาชนะรัสเซียในสนามรบ ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ พร้อมการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องว่ารัสเซียควรยอมแพ้ ควรละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ไปให้หมด ก็ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูดดีนอกเหนือจากคำว่าเบาปัญญา และที่สำคัญหลากหลายประเทศก็หยิบยกความตื้นเขินแบบนี้ มาใช้ในการดำเนินนโยบายรัฐบาลรัสเซียขอย้ำจุดยืนเดิมว่า ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนคือการกำจัดแนวคิดนาซี และการทำให้ยูเครนลดอำนาจทางการทหาร ซึ่งผลลัพธ์ยังคงมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ชาติตะวันตกกำลังดำเนินการอยู่ ณ เพลานี้ คือพยายาม “ซื้อเวลา” เหมือนที่เคยทำมาแล้วตอนทำข้อตกลงหยุดยิงมินสก์ (ระงับศึกระหว่างรัฐบาลยูเครนกับกองกำลังแบ่งแยกดินแดนยูเครนตะวันออก) เพื่อระดมอาวุธและเสบียงให้ยูเครนระลอกใหม่tt ttเดินเกมการเมืองเจรจาต่อรอง ขณะที่ปากก็กล่อมเข้าไปว่ารัสเซียกำลังแพ้ ยูเครนกำลังชนะ ล่าสุดในเวทีการประชุมดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ก็เพิ่งประกาศปาวๆในลักษณะนี้ ที่ทำเอาผมงงไปเลยคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลยูเครนที่นับวันยิ่งเพ้อฝันและไม่ได้ทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนไม่นานมานี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครนได้ประกาศออกมาชัดเจนว่า ขอทำสงครามกับรัสเซียในฐานะ “ตัวแทน” ของชาติตะวันตก ชี้แจงเป็นฉากๆว่า เอาเงินมาแล้วเราจะจบงานให้ เรื่องนี้น่าทึ่งคือยูเครนบอกอย่างชัดเจนเลยว่า ชาติตะวันตกไม่เสียหายขาดทุนอะไร เพราะเงินทุนส่วนใหญ่กว่า ๙๐% ก็ไม่ได้ถูกส่งมาให้ยูเครน เป็นเงินที่รัฐบาลประเทศนั้นๆต้องเอาไปจ่ายให้บริษัทเอกชนผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ในประเทศของตัวเองจะผิดหรือไม่ที่ผมจะสรุปให้ว่าสิ่งที่ยูเครนพูดคือการบอกว่า “จ่ายเงินมา แล้วเราจะไปตายให้คุณ” ที่สำคัญคุณพูดออกมาโดยที่ยังรับรู้ว่าไม่ได้ส่งทหารไปตายเพื่อรัฐบาลต่างชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังยอมตายเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเอกชนต่างชาติเสียด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องตัวผู้นำยูเครนก็ไม่อยากพูดถึงว่าคิดอะไรหรือเมาอะไรมา เพิ่งเปิดตัวแผนที่ใหม่ของยูเครนที่ผนวกดินแดนของรัสเซียเข้าไปด้วย ๖ จังหวัด ซึ่งครอบคลุมทั้งจังหวัดเบลโกรอดและรอสตอฟถามว่าศึกเลือกตั้ง “สหรัฐอเมริกา” ในช่วงปลายปีนี้มองไว้เช่นไร หากมีการเปลี่ยนพรรครัฐบาลจะคุยสะดวกกว่าไหม ท่านทูตจ้องมองตาและพูดสั้นๆว่า “ผมไม่สนใจ” มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นโยบายของอเมริกันจะยังคงเดิมต่อไปตราบใดที่ยังไม่เคยผ่านความบอบช้ำของสงครามที่เกิดขึ้นในดินแดนของตัวเองเหมือนชาติอื่นๆ และประเทศรัสเซียยังไงก็คือ “ปิศาจ” อยู่วันยังค่ำ ถึงโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้เป็นประธานาธิบดี เราก็ไม่เชื่อว่าจะหยุดสงครามได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมงตามที่พูดที่คุณเล่าให้ผมฟังมันก็น่าสนใจนะ ที่บางประเทศมีมุมมองว่า พรรครีพับลิกันคุยง่ายกว่า พูดชัดเจนกว่าว่าต้องการสิ่งใด แต่เรื่องนี้รัสเซียมีความเข้าใจว่า ฝ่ายการเมืองของสหรัฐฯมีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองคือ “เบอร์ ๑” ของโลกตลอดกาล โดยที่ขาดความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนี้ชาติอื่นๆเขาพัฒนากันไปถึงไหนต่อไหน โดยเฉพาะในเรื่องขีดความสามารถทางการทหารสำหรับโลกยุคใหม่ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกที่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด เรามองว่าชาติตะวันตกกำลัง “สูญเสียการควบคุม” คิดว่าตัวเองเอาอยู่ ทั้งที่เริ่มจัดการอะไรไม่ได้แล้ว แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็มาจากการที่คิดว่าตัวเองคือเบอร์ ๑ เอาเข้าจริงแล้วอย่างยุโรปเอง ทางรัสเซียมองว่ามีปัญหาภายในที่ต้องจัดการอีกมากมาย และช่วงหลังนี้ก็เริ่มมีบางประเทศที่มองต่างมุม แสดงจุดยืนว่าต้องการคลี่คลายความขัดแย้งมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯก็เริ่มงานล้นมือ ต้องโยกย้ายถ่ายเทงบประมาณความมั่นคงไปยังภูมิภาคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเยเมน คาบสมุทรเกาหลี และอาจรวมถึงไต้หวัน แถมดีไม่ดียังอาจรวมถึงภูมิภาคอาเซียนสุดท้ายแล้ว มันก็อยู่ที่ว่าตัวเองจะเลือกอะไร “ทุกคนสามารถเลือกทางเดินของตัวเอง” ซึ่งรัสเซียก็ตั้งตาคอยที่จะเห็นหลายๆประเทศมีความเข้าใจในภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมหยิบยกประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับอิรัก ซีเรีย ลิเบีย อัฟกานิสถาน ไปจนถึงภูมิภาคละตินอเมริกาในช่วงยุคสงครามเย็น มาใช้ถอดบทเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมซ้ำรอย.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “๗ วันรอบโลก” เพิ่มเติม