“สุริยะ” แจงที่ประชุมสภา นโยบายรถไฟฟ้า ๒๐ บาท สายสีแดง-สายสีม่วง ทำได้เร็วกว่าที่ประกาศไว้ ส่วนสายอื่นๆ ต้องเร่งผลักดันกฎหมายตั๋วร่วม ด้าน รัฐมนตรีช่วยว่าการคลัง ชี้ เกือบทุกรัฐบาลใช้นโยบายขาดดุลมาตลอด เมื่อเวลา ๒๑.๔๘ น. วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๗ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๗ ว่า ขอบคุณสมาชิกที่อภิปรายเกี่ยวกับงบกระทรวงคมนาคม โดนในเรื่องรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย เป็นนโยบายที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงต่อที่ประชุมสภา เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ซึ่งเมื่อค่าใช้จ่ายในการเดินทางลดลงจะทำให้ประชาชนนำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในครอบครัว รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงการบริการสาธารณะของรัฐบาล ทั้งนี้เมื่อรับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการคมนาคม ในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๖ ตนได้ประกาศว่า การทำนโยบายนี้ให้เป็นจริงจำเป็นต้องใช้เวลาประมาณ ๒ ปี เพราะต้องเจรจาผู้รับสัมปทานเดิม และหาแหล่งทุนสนับสนุน แต่เมื่อดูรายละเอียดพบว่า รถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายมีม่วง เป็นสายที่รัฐบาลดำเนินการเอง จึงหวังให้ ๒ สายนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน แต่เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ สามารถนำนโยบายดังกล่าวมาให้ประชาชนสำเร็จภายใน ๓๒ วันเท่านั้นส่วนประเด็นว่านโยบายนี้ทำให้รถไฟฟ้าขาดทุนปีละหลายพันล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง เพราะก่อนหน้านั้นขาดทุนอยู่แล้ววันละ ๖.๙ ล้านบาท หลังเริ่มนโยบาย ๒๐ บาท ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ช่วงแรกจะมีรายได้ลดลง แต่ต่อมารายได้ทั้ง ๒ สายเพิ่มขึ้น และมั่นใจว่าในอีก ๖ เดือนข้างหน้า เมื่อทำระบบฟีดเดอร์เชื่อมให้ประชาชนมายังรถไฟฟ้าสะดวกขึ้น รายได้รถไฟฟ้าทั้ง ๒ สายจะสูงกว่ารายได้ คือจะทำกำไรได้แน่นอน นายสุริยะ ยังระบุต่อไปถึงรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ ในนโยบาย ๒๐ บาทตลอดสายว่า ต้องชดเชยรายได้ผู้ประกอบการตามสัญญา จึงต้องเร่งรัดผลักดันร่าง พระราชบัญญัติตั๋วร่วม เพื่อนำเงินมาชดเชยผู้ประกอบการ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอความเห็นชอบ สำหรับเรื่องที่ไม่ได้มีการตั้งงบประมาณสนับสนุนในนโยบาย ๒๐ บาทนั้นเป็นเรื่องจริง เนื่องจากแหล่งเงินที่รัฐบาลสนับสนุนค่าโดยสารให้ประชาชน ได้มาจากเงินรายได้ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงไม่ปรากฏในเล่มงบประมาณ โดย นายสุริยะ ใช้เวลาไม่นาน จบการชี้แจงเสร็จในเวลา ๒๑.๕๕ น.tt ttต่อมาเวลา ๒๒.๐๓ น. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงเรื่องการจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องว่า ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนโยบายขาดดุลเป็นนโยบายการคลังแบบขยายตัวผ่านการจัดทำงบประมาณ เกือบทุกรัฐบาลก็ใช้นโยบายขาดดุลมาโดยตลอด มีเพียงบางปีที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจ หรือการจัดเก็บรายได้ เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็จัดทำงบประมาณแบบขาดดุลด้วยความจำเป็นที่จะต้องยกระดับการพัฒนาประเทศ สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งเป็นการขาดดุลเพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ รวมทั้งการกระตุ้นดึงดูดภาคเอกชนมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นการกู้เงินเป็นหนี้สาธารณะก็ตาม แต่หากดูในรายงานความเสี่ยงทางการคลัง จะเห็นว่าหนี้สาธารณะที่จะโตไปจนถึง ๖๔% มีถึง ๑๐% ไม่ต้องใช้รายได้ของรัฐบาลไปจ่ายคืน แต่เป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจซึ่งมีความสามารถชำระคืนเอง หรือหนี้ของกองทุนฟื้นฟูที่มีแหล่งรายได้ที่ชัดเจนที่จะคืนเงินกู้ตรงนั้นอยู่แล้วขณะที่ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในระหว่างฟื้นตัวจากโควิด-๑๙ เพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รัฐบาลยังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการคลังนี้ผ่านการจัดทำงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายการคลังในการปรับลดขนาดการขาดดุลงบประมาณในระยะปานกลาง จากร้อยละ ๓.๖๔ ในปี ๒๕๖๗ เป็นร้อยละ ๒.๙๒ ในปีงบประมาณ ๒๕๗๑ ส่วนการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ นายกฤษฎา ระบุว่า ในระหว่างการพิจารณางบประมาณ โดยในชั้นต่อไปที่คณะกรรมาธิการวิสามัญจะพิจารณาในรายละเอียดของงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง มีการกำหนดในเรื่องการดำเนินการว่าให้หน่วยงานสามารถกำหนดรายละเอียด คุณลักษณะเฉพาะ คุณสมบัติของผู้เสนอราคาเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงรูปแบบและเนื้อหาสัญญาที่จะลงนามคือสามารถทำได้ล่วงหน้า และเมื่อเสนอเข้าสู่สภาในวาระ ๒ ให้หน่วยงานเร่งจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงจัดให้ได้ผู้ชนะการประกวดราคา และพร้อมที่จะทำสัญญาทันทีเมื่อได้รับการอนุมัติทางการเงินจากสภา ซึ่งกรมบัญชีกลางก็จะเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในระบบของภาครัฐอย่างรวดเร็วได้นายกฤษฎา กล่าวต่อไปถึงการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ๒ เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๖) สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิได้ตามเป้าหมายสะสม ๒ เดือน สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๔ หรือประมาณ ๑,๕๐๐ กว่าล้านบาท ขณะที่ตัวเลขล่าสุดของ ๓ เดือน ก็ยังจัดเก็บได้เกินกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณนี้ คือเกือบ ๓,๐๐๐ ล้านบาท ก่อนย้ำทิ้งท้ายว่า กระทรวงการคลัง จะมีมาตรการต่างๆ เพื่อให้เก็บรายได้เป็นไปตามเอกสารงบประมาณ ก่อนจบการชี้แจงในเวลา ๒๒.๐๘ น.