“นายกฯ เศรษฐา” โรดโชว์แลนด์บริดจ์ ชวนนักธุรกิจญี่ปุ่นร่วมลงทุน ชี้ ประหยัดต้นทุนและเวลามากกว่าช่องแคบมะละกา คาดทำจีดีพีไทยโตถึง ๕.๕% ต่อปี ด้าน “สุริยะ” กางแผนสัมปทานยาว ๕๐ ปี คืนทุน ๒๔ ปี เมื่อเวลา ๐๙.๐๐ น. วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๖ (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย ๒ ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดโรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์และโอกาสทางธุรกิจ มีบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเกือบ ๓๐ บริษัท ๔๐ คน ให้ความสนใจร่วมรับฟัง โดยมี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วม ที่โรงแรมอิมพีเรียล โตเกียวทั้งนี้ นายเศรษฐา กล่าวขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมงาน “Thailand Landbridge Roadshow” ซึ่งรัฐบาลไทยริเริ่มโครงการจากศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งของภูมิภาค ในอนาคตอาจจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งอีกแห่งของโลก โดยทวีปเอเชียมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้ามากที่สุดประมาณ ๔๐% ของโลก รองลงมาคือยุโรป ๓๘% การขนส่งระหว่างกันส่วนใหญ่ใช้เส้นทางช่องแคบมะละกา มีตู้สินค้าผ่านช่องทางนี้ ๒๕% ของทั้งโลก มีน้ำมันผ่านช่องทางนี้ ๖๐% ของโลก ถือว่าเป็นช่องทางที่คับคั่งและแออัดมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เพราะมีการขนถ่ายสินค้าประมาณ ๗๐.๔ ล้านตู้ต่อปี มีเรือผ่านช่องแคบประมาณ ๙๐,๐๐๐ ลำต่อปี และจากการคาดการณ์ในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ปริมาณเรือจะเกินกว่าความจุของช่องแคบมะละกา และจะทำให้เกิดค่าเสียโอกาสระหว่างรอถ่ายเรือ ไทยเห็นโอกาสในการพัฒนาเส้นทางที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ ด้วยเพราะไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ที่สามารถพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย เชื่อว่าโครงการแลนด์บริด์จเป็นเส้นทางเลือกที่สำคัญที่จะรองรับการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประหยัดและเร็วกว่า tt ttนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไป เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนและระยะเวลาสำหรับการขนส่งตู้สินค้าผ่านแลนด์บริดจ์ กับผ่านช่องแคบมะละกา พบว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของเรือขนส่งตู้สินค้าที่จะเข้ามาใช้แลนด์บริดจ์ ได้แก่ เรือขนส่งตู้สินค้าขนาดกลาง (Feeder) ที่ขนส่งตู้สินค้าระหว่างประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ในปัจจุบันการขนส่งตู้สินค้าจากประเทศผู้ผลิตในกลุ่มเอเชียตะวันออก อาทิ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ไปยังประเทศผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง ตู้สินค้าส่วนใหญ่จะถูกขนส่งมาโดยเรือขนาดใหญ่ (Mainline) แล้วมาเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าลงเรือ (Feeder) ที่ท่าเรือในช่องแคบมะละกา เพื่อขนส่งไปยังประเทศผู้บริโภค แต่ในอนาคตเมื่อมีโครงการแลนด์บริดจ์ ตู้สินค้าเหล่านั้นจะเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากประเทศผู้ผลิตโดยใช้เรือ Feeder แล้วมาเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าลงเรือ Feeder อีกลำที่แลนด์บริดจ์ ซึ่งจะสามารถประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย ๔% และประหยัดเวลาได้ ๕ วัน เช่นเดียวกับสินค้าซึ่งผลิตจากประเทศผู้ผลิตในแถบทะเลจีนใต้ เช่น จีนด้านตะวันออก ไต้หวัน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มายังประเทศผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง ส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งโดยเรือ Feeder แล้วมาถ่ายลำที่ท่าเรือในช่องแคบมะละกา ไปลงเรือ Feeder อีกลำ เพื่อขนส่งตู้สินค้าไปยังประเทศผู้บริโภค ซึ่งเมื่อมีโครงการแลนด์บริดจ์ ตู้สินค้าเหล่านั้นจะมาถ่ายลำที่แลนด์บริดจ์ จะสามารถประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย ๔% และประหยัดเวลาได้ ๓ วัน ขณะเดียวกัน นายเศรษฐา เผยต่อไปว่า อีกกลุ่มหนึ่งที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา และจีนตอนใต้ สามารถขนถ่ายตู้สินค้าผ่านโครงข่ายคมนาคมทางบกของไทยไปออกที่แลนด์บริดจ์ด้วยเรือ Feeder ไปยังประเทศผู้บริโภคต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศในเอเชียกลาง และประเทศในตะวันออกกลาง โดยโครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากเดิมได้มากถึง ๓๕% และประหยัดเวลาได้มากถึง ๑๔ วัน ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว การขนส่งตู้สินค้าในทุกเส้นทางดังกล่าวผ่านแลนด์บริดจ์ จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางได้ ๔ วัน และลดต้นทุนได้ ๑๕% ซึ่งจากการคาดการณ์ปริมาณตู้สินค้าทั้งหมดที่จะผ่านท่าเรือฝั่งตะวันตกของโครงการแลนด์บริดจ์ จะอยู่ที่ประมาณ ๑๙.๔ ล้านตู้ และผ่านท่าเรือฝั่งตะวันออกจะอยู่ที่ประมาณ ๑๓.๘ ล้านตู้ หากเทียบเป็นสัดส่วนกับจำนวนตู้สินค้าทั้งหมดที่ผ่านท่าเรือต่างๆ ในช่องแคบมะละกา จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง ๒๓%tt ttในส่วนของน้ำมัน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หากใช้แลนด์บริดจ์เป็นจุดกระจายน้ำมันดิบในภูมิภาค จะประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย ๖% อีกทั้งในการลงทุนโครงการดังกล่าว นักลงทุนจะได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในภาคบริการ ธุรกิจภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงินและการธนาคาร โดยผลประโยชน์จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในภาคเกษตรกรรม และธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-curves ที่จะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม โครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ในภาพรวม โดยคาดว่าจะเกิดการสร้างงานในพื้นที่จำนวนไม่น้อยกว่า ๒๘๐,๐๐๐ อัตรา และคาดว่า GDP ของประเทศไทยจะเติบโตถึง ๕.๕% ต่อปี หรือประมาณ ๖.๗ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อมีการพัฒนาโครงการอย่างเต็มรูปแบบ “ผมเชื่อมั่น และเชิญชวนให้ญี่ปุ่นร่วมลงทุนในโอกาสครั้งสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อนในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ทั้งในเชิงพาณิชย์และเชิงยุทธศาสตร์ ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย เพื่อความเติบโตในเศรษฐกิจร่วมกัน”tt ttทางด้าน นายสุริยะ กล่าวเสริมว่า โครงการดังกล่าวมี ๒ เหตุผลสำคัญที่ถือเป็นข้อได้เปรียบ คือ ๑. ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแลนด์บริจด์ ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโครงข่ายคมนาคมในไทยได้รับการพัฒนาเชื่อมโยงกับเครือข่ายการขนส่งของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ๒. โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นการแก้ปัญหาความแออัดในช่องแคบมะละกา ซึ่งมีสาเหตุมาจากจำนวนเรือบรรทุกตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยโครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยลดระยะทาง ลดเวลา และลดต้นทุนการขนส่ง สำหรับแผนการดำเนินโครงการ มีการวางแผนการพัฒนาทั้งโครงการเป็น ๔ ระยะ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ถึง ค.ศ. ๒๐๔๐ รูปแบบการหาผู้มาลงทุนและดำเนินการจะเป็นการประมูลแบบนานาชาติ (International Biding) โดยมีระยะเวลาสัมปทาน ๕๐ ปี เป็นสัญญาเดียว ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่มาดำเนินการโครงการ ต้องเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย สายการเดินเรือ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ผู้ประกอบการและบริหารท่าเรือ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนักลงทุนภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ไทยจะออกกฎหมายใหม่เพื่อพัฒนาโครงการและพื้นที่โดยรอบโดยเฉพาะ การอำนวยความสะดวกการจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน และจากการศึกษาความคุ้มค่าการลงทุน โครงการดังกล่าวผู้ลงทุนจะคืนทุนใน ๒๔ ปี โดยคิดจากรายได้ของการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือเท่านั้น ยังไม่รวมผลตอบแทนที่จะมาจากด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นหลายรายคุ้นเคยในประเทศไทย โครงการนี้จะทำให้น่าลงทุนยิ่งขึ้น และการโรดโชว์ในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางขนส่งตู้สินค้าทางทะเลของภูมิภาค และอาจเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของโลก.tt tt
“เศรษฐา” โรดโชว์แลนด์บริดจ์ ประหยัดต้นทุน-เวลา คาดทำ GDP ไทยโตถึง ๕.๕% ต่อปี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง