คดีน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย ๓ ขวบ หายไปจากบ้านพักภายในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ ๑๑ พ.ค. ๒๕๖๓ จนมาพบศพบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ ๒ กิโลเมตร ท่ามกลางความสงสัยว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนในทุกขั้นตอน สามารถคลี่คลายคดีนำไปสู่การออกหมายจับ “ลุงพล” หรือไชย์พล วิภา และ “ป้าแต๋น” หรือสมพร หลาบโพธิ์ล่าสุดวันที่ ๒๐ ธ.ค. ๒๕๖๖ ศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านคำพิพากษาจำคุก “ลุงพล” จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๑๗ วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก ๑๐ ปี และพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก ๑๐ ปี ส่วน “ป๋าแต๋น” จำเลยที่ ๒ ยกฟ้องtt ttคดีนี้ศาลมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสอง กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าบริเวณที่พบศพน้องชมพู่ บนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากจุดที่มีคนพบเห็นน้องชมพู่ครั้งสุดท้าย ๑.๕ กิโลเมตร และเป็นทางลาดชัน ประกอบบริเวณดังกล่าวตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้นมีลักษณะถูกตัดด้วยของมีคม เชื่อว่าผู้ตายอายุ ๓ ปีเศษ ไม่สามารถเดินไปถึงบริเวณที่พบศพและใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไปจำเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า ประการแรก ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. ผู้ตายเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและมีพี่สาวผู้ตายนอนเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง กระทั่งเวลาประมาณ ๐๙.๕๐ น. พี่สาวผู้ตายมองหาผู้ตายไม่เห็นจึงออกตามหา ดังนั้นผู้ตายต้องหายตัวไปก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โดยพี่สาวผู้ตายเบิกความว่าไม่ได้ยินเสียงผู้ตายร้องแต่อย่างใด เชื่อว่าคนร้ายที่พาผู้ตายไปต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิดในหมู่บ้านที่ผู้ตายรู้จักดีเนื่องจากผู้ตายจะร้องไห้หากถูกคนแปลกหน้าอุ้ม เจ้าพนักงานตำรวจจึงสืบสวนกลุ่มบุคคลดังกล่าว ๑๔ คน แบ่งเป็นญาติ ๑๒ คน และบุคคลใกล้ชิด ๒ คน พบว่า ๑๓ คน มีหลักฐาน ยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไปtt ttประการที่สอง จำเลยที่ ๑ ให้การเป็นข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ จำเลยที่ ๑ ให้การกับเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนว่า วันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ มีนัดไปรับพระ ที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จำเลยที่ ๒ โทรศัพท์แจ้งจำเลยที่ ๑ ว่าผู้ตายหายตัวไป แต่ครอบครัวของจำเลยทั้งสองมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียวอยู่กับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ ๒ จะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่จำเลยที่ ๑อีกทั้งพระ ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอกเช่นกันยืนยันว่า วันดังกล่าว เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. จำเลยที่ ๑ เดินทางไปถึงวัดและพูดกับพระว่า หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ในขณะนั้น จำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวต้องยังไม่ทราบเหตุว่าผู้ตายหายตัวไปtt ttลุงพล-ป้าแต๋นประการที่สาม พยานโจทก์ให้การในชั้นสอบสวนว่า เห็นจำเลยที่ ๑ อยู่บริเวณสวนยางพาราซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จำเลยที่ ๑ พยายามไปพูดคุยให้พยานบอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า พบในช่วงเวลา ๐๗.๐๐ น. ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานตำรวจสงสัยหากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าวกับพยานที่ให้การต่อเจ้าพนักงานตารวจ ตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น แม้ต่อมาในขณะสืบพยานอีกรายจะเบิกความว่าไม่ได้เห็นจำเลยที่ ๑ บริเวณสวนยางพารา แต่ก็เป็นการกลับคำภายหลังเกิดเหตุกว่า ๒ ปี ซึ่งอาจทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ ๑ คำให้การในชั้นสอบสวนจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่าประการสุดท้าย ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์จำเลยที่ ๑ พบเส้นผม ๑๖ เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญปรากฏว่า เส้นผม ๑ เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จำเลยที่ ๓ มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้างตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย ๒ เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตายเส้นผมทั้ง ๓ เส้น ถูกตัดในคราวเดียวกันด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผมมีขนาดเล็กมาก จึงไม่สังเกตว่ามีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตนtt ttพ่อและแม่ของน้องชมพู่การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจในคดีนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังจำเลยที่ ๑ มาแต่แรก หากเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อสันนิษฐานอย่างเป็นลำดับขั้นตอนดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น โดยไม่ปรากฏว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องคนใดมีสาเหตุโกรธเคืองหรือมูลเหตุชักจูงใจในการใส่ร้ายจำเลยที่ ๒ จึงเชื่อว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายที่พาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟขณะพาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ จำเลยที่ ๑ รู้หรือไม่ว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านซ้ายและท้ายทอยเป็นจ้ำๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ตรวจดูให้ดีเลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพฯ นั้นเห็นว่าภายหลังวันเกิดเหตุจนถึงวันที่พบศพผู้ตาย โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ tt ttแม้ผลการตรวจเส้นผม ๓ เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมี mtDNA ตรงกับจำเลยที่ ๒ แต่การตรวจหา mtDNA นั้น ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่าเป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น เส้นผมดังกล่าวจึงไม่จำต้องเป็นของจำเลยที่ ๒ เพียงผู้เดียว เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสองในข้อหานี้พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๕๑, ๓๑๗ วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก ๑๐ ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก ๑๐ ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ ๑ ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ กับให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสองอนึ่ง คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ ๑ เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสำนวน ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๑ (๑ ).
เส้นผมในรถ หลักฐานสำคัญคดีน้องชมพู่ มัดตัวลุงพล ศาลสั่งจำคุก ๒๐ ปี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง