๕ สถาบันวิชาการ เสนอทางออกเร่งด่วน รัฐทุ่มลงทุนกู้วิกฤติทักษะคนไทย เป็นวาระแห่งชาติ เชื่อประเทศไทย มีโอกาสออกจากวิกฤติภายใน ๓ ปี หลังไทยเผชิญวิกฤติ เยาวชน ประชากรวัยแรงงานขาดแคลนทักษะวันที่ ๑๒ มี.ค. ๒๕๖๗ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ๕ สถาบันวิชาการ เสนอทางออกเร่งด่วน รัฐทุ่มลงทุนกู้วิกฤติทักษะคนไทย เป็นวาระแห่งชาติ เชื่อ มีโอกาสออกจากวิกฤตเช่นเดียวกับอินโดนีเซียใช้เวลาเพียง ๓ ปี ปรับทักษะ ๑๗.๕ ล้านคนสำเร็จ หลังจากที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และธนาคารโลก (World Bank) ได้เผยแพร่ผลสำรวจทักษะและความพร้อมเยาวชนและประชากร วัยแรงงาน (ASAT) ในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยพบว่า ไทยเผชิญวิกฤติ เยาวชนและประชากรวัยแรงงานขาดแคลนทักษะหรือมีทักษะพื้นฐานชีวิต ได้แก่ ๑) การอ่านออกเขียนได้ (literacy) ๒) ทักษะด้านดิจิทัล (digital skill) และ ๓) ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (sociomotional skill) ต่ำกว่าเกณฑ์ (Threshold Level) ‘ในสัดส่วนที่สูง’ โดยปัญหาดังกล่าวคาดว่าได้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง ๓.๓ ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น ๒๐.๑% ล่าสุด ๕ สถาบันวิชาการ ร่วมระดมสมอง หาทางออก ในเวทีวิชาการ “Fostering Foundation Skills in Thailand กู้วิกฤติทักษะคนไทย หลุดพ้น ความยากจน” เมื่อวันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ณ ห้องสานพลัง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา อาคารเอส พี ชั้น ๑๒ โดยเป็นการระดมสมองนักวิชาการจากหลากหลายสถาบัน อาทิ กสศ. สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาค ทางการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สถาบันนโยบาย วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม มจธ. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ฯลฯ เพื่อวิเคราะห์นโยบายจากต่างประเทศในการพัฒนาทักษะพื้นฐานชีวิตทุกช่วงวัยที่ประสบความสำเร็จ และหารือกันถึงทางออกในการกู้วิกฤติทักษะคนไทย ด็อกเตอร์สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การกู้วิกฤติทักษะคนไทยต้องทำเป็นระบบใหญ่ จริงจังและทุ่มเททรัพยากร ตัวอย่างรูปธรรมสำคัญ เช่น การทำ National Skill Program เป็นวาระแห่งชาติ โดยโปรแกรมนี้ต้องมีลักษณะเป็น ขนมชั้น ๓ ชั้น เริ่มจากชั้นกลาง คล้ายกับที่อินโดนีเซียทำ คือมีคูปอง มีระบบกลไก ตลาด ให้คนที่รู้เรื่องทักษะจริงหรือรู้ว่าตลาดต้องการอะไรเป็น Suply Side เป็นผู้แจกคูปอง เป็นทักษะเฉพาะทาง ทักษะอาชีพต่างๆ เรื่องนี้ต้องทำขนานใหญ่ ต้องกล้าลงทุน อินโดนีเซียทำเรื่องนี้ เริ่มต้น ๕ ล้านคน ของไทยต้องวางเป้าหมายมากกว่านั้น อาจกำหนดกลุ่มเป้าหมายเลยว่าคนไทยทุกคนที่เรียนไม่เกิน ม.๓ ความรู้ไม่มากนัก ตามโลกไม่ทัน เข้าใจว่าน่าจะมีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๒๐-๓๐ ล้านคน แน่นอนว่าต้องค่อยๆ เริ่ม และมีการประเมินระหว่างทาง โดยประเภทของทักษะ อาจเป็นเฉพาะทางก็ได้ แต่ต้องมีความหลากหลายรองรับเพียงพอ ส่วนชั้นล่าง หรือชั้น ๑ ควรมีโครงการที่เป็น Skill Program ที่ส่งเสริมเรื่องทักษะ พื้นฐานชีวิตให้กับทุกคน ‘ชั้นกลาง’ หรือทักษะเฉพาะทาง สำหรับ ‘ชั้นบน’ ต้องเป็นพื้นที่เฉพาะของกลุ่มเปราะบาง เช่น ประชากรนอกระบบ เด็กที่ออกนอกระบบ กลุ่มคนจน ๑๕% ล่างสุดของประเทศ คนพิการ ผู้สูงอายุ ฯลฯ กลุ่มนี้ต้องการการดูแลพิเศษด้วยโปรแกรมที่ออกแบบเฉพาะ โดยการเสริม Foundation Skills ที่โยงกับกลุ่มคนยากจนขาดแคลนโอกาสที่สุดถ้าเป็นไปได้ควรเป็น ๓+๒ ได้แก่ ทักษะดิจิทัล ทักษะรู้หนังสือ และทักษะอารมณ์และสังคม แล้วควรเพิ่ม ‘ความรู้ ทางการเงิน’ financial literacy และมีตัวย่อยคือ ‘ความรู้ในการลงทุน’ (investment literacy) เพราะนอกจากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ความรู้ในการ ลงทุนจะลดการใช้จ่ายเงิน ลดการซื้อหวย ลดการดื่มเหล้า จะทำให้เงินนี้ออกดอก ออกผลได้ นอกจากนี้ยังมีตัวแถมที่สาม คือเรื่อง สุขภาพ และเสริมเรื่องอินเทอร์เน็ต โดยการมีอินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับคนกลุ่มเปราะบาง เพราะจะเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้อย่างมาก ด็อกเตอร์สมชัย กล่าวว่า คำถามที่ว่าเราต้องลงทุนอย่างไรหรือใช้ทรัพยากรเท่าไรเพื่อกู้วิกฤติทักษะประชากร คำตอบคือ ‘ใช้ให้เต็มที่ที่สุด’ แต่ใจความสำคัญคือเรา ต้องใส่อย่างชาญฉลาด ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ“ผมคำนวณดู อินโดนีเซียใช้ ๙,๐๐๐ บาทต่อคน ลองใช้ตัวเลขนี้กับคนไทยด้วย ตัวเลขผู้ที่การศึกษาต่ำกว่า ม.๓ ราว ๒๐ ล้านคน ใช้เงินน่าจะไม่ถึงแสนล้านจริงๆ อาจไม่ต้องใช้ถึงแสนล้าน เพราะทักษะแบบนี้โดยหลักการไม่จำเป็นต้องถูกฝึกใหม่ทุกปี ดังนั้น งบประมาณจะประมาณ ๖๐,๐๐๐ ล้าน ประเด็นเรื่องเวลา คนจน ไม่มีเวลาเรียนถึง ๑๖ ปี ถ้าเราทำ platform ดีๆ เด็กจากครอบครัวยากจนเรียน ๖ ปี ไม่ถึง ๑๐ ปี สามารถเก่งเรื่องทักษะพื้นฐานชีวิต ก็สามารถหาความรู้ด้วยตัวเองได้” ด็อกเตอร์สมชัย กล่าว ด็อกเตอร์แบ๊งค์ งามโชติอรุณ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ประเทศอินโดนีเซียสามารถพัฒนาทักษะแรงงานหลังวิกฤติโควิด-๑๙ ระบาดด้วย โครงการชื่อ Kartu Prakerja (Pre-employment card) หรือเรียกย่อๆ ว่า Prakerja โดยโครงการนี้ คือ ความร่วมมือที่ภาครัฐและเอกชน ช่วยกันสร้างเครื่องมือพัฒนาทักษะแรงงานที่สามารถแรงจูงใจให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อยากเข้ามาเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะของตัวเองอย่างเป็นระบบ และประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สามารถปรับทักษะของประชาชนได้มากถึง ๑๗.๕ ล้านคน ในเวลาเพียง ๓ ปี และเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติโควิด-๑๙ดร.แบ๊งค์ กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจ คือ โครงการนี้สามารถสร้างทักษะที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคเอกชน สามารถสร้างระบบ ตลาดความรู้หรือแพลตฟอร์ม (Platform and Marketplace) ที่มีคุณภาพ ช่วยจัดการเรียนรู้ ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ มีระบบคัดสรรผู้ให้บริการอบรมทักษะ ทั้งภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน โดยระบบดังกล่าว มีความยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจ มีระบบฐานข้อมูล ประชาชนแยกตามรายได้ และข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต่อการประเมินทักษะก่อนเรียน และแนะนำวิชาเรียนที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ว่าจะเลือกเรียนอะไรหรือปรับทักษะใด และสามารถสร้างแนวทางกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วม เรียนจนจบหลักสูตรและสอบผ่าน โดยการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินเครดิต ทุนการศึกษาให้กับผู้สอนเพียง ๓๐% และกำหนดให้ได้รับเครดิตอีก ๗๐% ได้หาก สามารถผลักดันให้ผู้เรียนสามารถเรียนจนจบหลักสูตรและสอบผ่านมีการจ่ายเงิน ให้ผู้เรียนเพื่อระบบประเมินและติดตามผล“หลังดำเนินโครงการ Prakerja เพียงปีเดียว ก็สามารถสร้างกลไกในการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางที่อยู่ล่างสุดของสังคม และดึงเอกชนมาร่วมทำงาน มีผู้ผลิตเนื้อหามากถึง ๑๘๑ หน่วยงาน สามารถสร้างสรรค์วิชาทั้งสิ้น ๑,๙๕๗ รายการ สำหรับผู้เรียนราว ๕.๙ ล้านคนต่อปี” ด็อกเตอร์แบ๊งค์กล่าว คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. ระบุว่า เวลาพูดถึงภาพรวมระบบการศึกษาจะพูดถึงเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในโรงเรียนภายใต้ระบบการศึกษาภาคบังคับ ๑๕ ปีเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวนประมาณ ๘ ล้านคน แต่ไทยยังมีเด็กเยาวชนวัยแรงงานที่อยู่นอกรั้วโรงเรียน จำนวนมากถึง ๒๐.๒ ล้านคน และมีกลุ่มเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการ ศึกษา ไม่อยู่ในระบบการจ้างงาน อยู่บ้านเฉย ๆ เรียกว่ากลุ่ม NEET (Youth not in education, employment, or training) ราว ๑.๓ ล้านคน หรือราว ๑๔.๘% การจะทำให้ไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางนโยบายต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคนทุกช่วงวัย แผนการพัฒนาการศึกษาต้องมีมุมมองกว้าง กว่าเขตรั้วโรงเรียน การศึกษาตลอดชีวิตเรื่องการทำงานต้องมีการเชื่อมโยงทั้ง แนวตั้ง เช่น หน่วยจัดการเรียนรู้ มาตรฐาน การประเมิน คุณภาพผู้สอน และแนวนอน เช่น หน่วยงานภาคส่วนต่างๆ รัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น หลักสูตร โอกาส ของตลาดแรงงาน“โจทย์นี้ใหญ่มาก คงทำงานด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ ไทยต้องมีหน่วยงานเจ้าภาพที่มาทำเรื่องนี้เหมือนอินโดนีเซียที่มี Prakerja เป็นเจ้าภาพ ทำงานกับดีมานด์ซัพพลาย ใช้กลไกตลาดสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนอยากปรับทักษะ มีการคัดเลือกหลักสูตรต่างๆ เชื่อมโยงการทำงานทั้งแนวนอนและแนวตั้ง คือทำทุกช่วงวัย มองตั้งแต่เด็กเยาวชนที่อยู่ในระบบ ๑๕ ปีแรก จนถึงกลุ่มที่ต้องมีชีวิตอยู่อีก ๕๐ ปีหลัง การออกแบบกลยุทธ์ของประเทศไทยต้องมีการเชื่อมต่อกัน ระหว่างช่วงวัยและระบบการศึกษาลักษณะต่างๆ ทั้งประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา อุดมศึกษา และอื่นๆ”