วันอังคาร, 5 พฤศจิกายน 2567

“จตุพร” ชี้ “ทักษิณ” ที่เชียงใหม่ ไม่เหมือนป่วยวิกฤติต้องนอน รพ.ตำรวจ ๑๘๐ วัน

16 มี.ค. 2024
57

“จตุพร” วิเคราะห์ “ทักษิณ” ช่วงเดินทางไปเชียงใหม่ สุขภาพแข็งแรง ไม่เหมือนคนป่วยวิกฤติต้องนอน รพ.ตำรวจ ๑๘๐ วัน เผย ดีลที่ได้ยินมายังไม่เปลี่ยนแปลง แต่หวังให้ “เศรษฐา” ได้เป็นนายกฯ ต่อ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอก ไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่ ว่า ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็พูดได้ แต่การพักโทษไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ๑๐ ประการ รวมความแล้วนักโทษแก่อายุกว่า ๗๐ ปี ต้องช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลป้อนน้ำป้อนข้าว คอยพยุงเดิน แต่ที่เห็นการแสดงออกที่ จ.เชียงใหม่ ในช่วง ๓ วัน เป็นคนละเรื่องเลย แล้วจะพักโทษได้อย่างไรทั้งที่ไม่เคยติดคุกสักวัน“สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของนักโทษประเทศนี้ต้องไม่มีอภิสิทธิ์ชน เมื่อต้องการอยู่ภายใต้ระเบียบกฎหมาย ทุกคนต้องเสมอหน้ากัน มีโทษก็ต้องติดคุก ป่วยหนักก็รักษา แต่การแสดงที่เชียงใหม่กลับไม่ใช่คนเคยนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ นาน ๑๘๐ วัน แล้วยังมาบอกว่าไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่ เราจะอยู่ในระบอบต่างคนต่างอยู่กันเหรอ”นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า พฤติกรรมของ นายทักษิณ ตลอด ๓ วัน ตั้งแต่ ๑๔-๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗ ได้ถอดและสลับใส่ปลอกคอเฝือกอ่อนเป็นระยะ ดูแล้วไม่เหมือนคนป่วยวิกฤติ แขนก็ไม่ใส่สายคล้องยึดพยุงเอ็นเปื่อยยุ่ยเอาไว้ ซ้ำยังยื่นมือให้มวลชนจับ สัมผัสโดยไม่หวั่นไหวจะเกิดการอักเสบแทรกซ้อนซ้ำเติม อีกทั้ง การถอดปลอกคอเป็นการสะท้อนถึงความไม่แคร์สังคม ไม่แคร์การนอนที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งสังคมคลางแคลงใจว่าป่วยจริงหรือไม่ และไม่แคร์แพทย์ที่ให้การรันตีอาการป่วยวิกฤติจริง หวั่นจะมีโรคแทรกซ้อนได้ แต่การเดินตลาดเชียงใหม่ ทำกิจกรรมต่อเนื่องตลอด ขออนุญาตไปไหว้บรรพบุรุษ กลับไม่กลัวโรคแทรกซ้อนเลยขณะเดียวกัน ในงานเลี้ยงเย็นวันที่ ๑๕ มีนาคม ที่บ้าน นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นน้องสาว นายทักษิณ ก็ถอดหน้ากากอนามัย สลัดปลอกคอเฝือกอ่อนทิ้ง หน้าตาอิ่มเอิบ นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีนักการเมือง รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลบางคนนั่งอยู่ด้วย รวมไปถึงถ่ายรูปกับสมาชิกพรรคเพื่อไทย และทักทายมวลชน ไม่มีริ้วรอยอาการป่วยของคนเคยนอน รพ.ตำรวจ ๑๘๐ วันหลงเหลืออยู่ ดังนั้น สะท้อนได้ว่าเป็นคนปกติ มีสุขภาพแข็ง ไร้อาการป่วยวิกฤติที่อ้างย้ำให้เชื่อนายจตุพร ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีอดีตคนเสื้อแดงชูป้ายทวงถาม นายทักษิณ หาความรับผิดชอบที่คนเสื้อแดงเสียชีวิต ว่า ในการต่อสู้ทางการเมืองย่อมมีหลักยึดมั่นเสมอในการต่อสู้กับสองมาตรฐาน สู้กับความไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วรังเกียจสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่มีใครต้องการไปต่อสู้เพื่อแลกกับการเสียชีวิตเพื่อคนตระบัดสัตย์ พวกเขาจึงต้องมาประจานทวงถาม อีกทั้งในช่วงวันที่ ๑๕-๑๖ มีนาคม ๒๕๖๗ ที่ นายทักษิณ ไปเชียงใหม่ อารมณ์ประชาชนไม่เหมือนเดิม เพราะแต่เดิมจะเต็มไปด้วยพี่น้องเสื้อแดงจากทั่วสารทิศมาต้อนรับ แต่บรรยากาศขณะนี้กลับไม่ใช่ สาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมทางการเมืองที่ นายทักษิณ พรรคเพื่อไทย เป็นตรงกันข้ามกับการประกาศตราหน้าคนอื่น เมื่อเสียการเมืองแล้ว จึงยากจะพากลับให้เป็นเหมือนเดิมได้ ส่วนการดีลกลับบ้านนั้น ถ้านายเศรษฐา ยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป นายจตุพร มองว่าแสดงถึงการผิดดีลกัน และถ้าอาจเกิดให้ตีความ สว. ครบวาระวันที่ ๑๑ พฤษภาคมนี้ แต่ยังอยู่ต่อเพื่อรอชุดใหม่ และสามารถทำหน้าที่ได้ทุกเรื่อง รวมทั้งการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ดังนั้น อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดสิ่งนี้ เพราะประเทศนี้มีความเป็นไปได้ทุกอย่างอยู่แล้ว“ถึงที่สุดผมอยากให้ นายเศรษฐา เป็นนายกฯ ต่อไป ไม่อยากให้เป็นไปตามดีลทั้งหมด หรือให้มีการแก้ไขดีลกันใหม่ แต่ขณะนี้ผมยังไม่ได้ยินว่าได้มีการเปลี่ยนดีลให้เศรษฐาไปต่อ แต่ที่ได้ยินยังเป็นเรื่องเดิมอยู่”ทั้งนี้ คงต้องดูกันต่อไปอีกเป็นระยะ หากเบี้ยวดีลแล้วยังไม่มีปัญญาทำอะไร หรือเปลี่ยนดีลใหม่อีก ก็อาจจะเจอสถานการณ์ใหม่ เพราะบรรยากาศทางการเมืองมีความหลากหลาย รวมทั้งการกลับบ้านของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะตามมาอีก ซึ่งถ้าเบี้ยวดีลกันยิ่งทำให้กลับบ้านได้ยากขึ้นมาก ก่อนระบุต่อไปว่า การที่นายทักษิณ ไปเชียงใหม่แล้วทำกิจกรรมต่อเนื่องทั้งวัน ไม่รู้ว่าเกิดประโยชน์อะไร เพราะสิ่งนั้นแสดงความสมบูรณ์ของร่างกายที่สุดแล้ว ยิ่งทำให้คนกังขาว่าไม่ได้ป่วยจริงขึ้นไปอีก ซึ่งความซวยกำลังจะไปถึงกรมราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจในช่วงท้าย นายจตุพร กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ยังมีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่มาก การที่ นายทักษิณ บอกว่า ไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่นั้น แต่ที่ต่างคนต่างอยู่กันไม่ได้เพราะไม่มีความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางยุติธรรม ความรู้สึกและอารมณ์ของประชาชนที่บังเกิดในความยุติธรรม เป็นการเสียมากกว่าได้ จึงต่างกันต่างอยู่ไม่ได้“ถ้าไม่แคร์ประชาชน คิดแต่ว่าตัวเองมีอำนาจ ซึ่งคนมีอำนาจมากกว่านี้หลายคนก็เสียชีวิตต่างประเทศมาแล้ว ดังนั้น เวลานี้อย่าคิดว่าถ้ามีเรื่องแล้วประชาชนจะเป็นหลังพิงให้ และถึงที่สุดไม่มีใครใหญ่จริงทุกเวลา ใหญ่วันนี้ก็เล็กในวันหน้า ซึ่งต้องวัดกันด้วยดีลที่ทำกันไว้ในวันข้างหน้า”