รัฐบาลเดินหน้าแก้หนี้ทั้งระบบอย่างยั่งยืน ช่วยปลดล็อกชีวิตคนไทย ไม่กลับมาเป็นหนี้ซ้ำ คาด หากสัมฤทธิผลตามแผน จะดึงกำลังซื้อกลับคืนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ๕ แสนล้านบาท ฟื้นคืนศักยภาพการผลิตภาคประชาชนได้อย่างน้อย ๕ ล้านคนวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๖ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลในการเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้สินทั้งระบบให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ซึ่งปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาเรื้อรังที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน ทั้งปัญหาหนี้นอกระบบและในระบบ ซึ่งการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบของรัฐบาลครั้งนี้ มีการกำหนดแนวทางในการดำเนินการอย่างชัดเจน และเป็นการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นไปอย่างยั่งยืนและไม่กลับมาเป็นหนี้ซ้ำอีก ล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงถึงการเดินหน้าแก้หนี้ทั้งระบบและแนวทางมาตรการแก้หนี้แต่ละกลุ่มที่ครอบคลุมประชาชนทุกภาคส่วน ดังนี้กลุ่มที่ ๑ คือ ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ โดยกลุ่มนี้จะได้รับการช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย หรือได้รับการพักชำระหนี้เพื่อผ่อนปรนภาระเป็นการชั่วคราว สำหรับลูกหนี้รายย่อยซึ่งส่วนใหญ่มีหนี้เสียกับธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รัฐบาลจึงกำหนดให้ธนาคารทั้ง ๒ แห่ง ติดตามทวงถามหนี้ตามสมควร และให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้กลุ่มนี้ เพื่อให้ไม่เป็นหนี้เสียอีกต่อไป โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในกลุ่มนี้ได้ประมาณ ๑.๑ ล้านราย ส่วนลูกหนี้ SME สถาบันการเงินของรัฐจะเข้าไปช่วยเหลือผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ SMEs ที่อยู่กับแบงก์รัฐ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นระยะเวลา ๑ ปี ซึ่งจะช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs เหล่านี้ ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ ๙๙ ของจำนวนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในกลุ่มนี้ นับเป็นจำนวนกว่า ๑ แสนรายกลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้ โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ที่มักจะมีหนี้กับสถาบันการเงิน และกลุ่มที่เป็นหนี้บัตรเครดิต โดยกลุ่มข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำรวจ ทหาร จะได้รับการช่วยเหลือผ่าน ๓ แนวทางด้วยกัน แนวทางแรก คือการลดดอกเบี้ยสินเชื่อไม่ให้สูงจนเกินไป แนวทางที่ ๒ จะต้องโอนหนี้ทั้งหมดไปไว้ในที่เดียว เช่น ที่สหกรณ์ เพื่อให้การตัดเงินเดือนนำมาชำระหนี้ทำได้สะดวก และสอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ และแนวทางที่ ๓ คือบังคับใช้หลักเกณฑ์การตัดเงินเดือน ให้ลูกหนี้มีเงินเดือนเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งทั้ง ๓ แนวทางนี้จะทำพร้อมกันทั้งหมดกลุ่มที่ ๓ คือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง เช่น เกษตรกร ลูกหนี้เช่าซื้อ และลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จะได้รับการช่วยเหลือ โดยการพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว การลดดอกเบี้ย หรือลดเงินผ่อนชำระในแต่ละงวดให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้เกษตรกร โดยลูกหนี้กลุ่มนี้ รัฐบาลได้มีโครงการพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว โดยพักทั้งหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา ๓ ปี ซึ่งโครงการนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมการพักหนี้กว่า ๑.๕ ล้านราย เป็นต้นกลุ่มที่ ๔ คือ กลุ่มที่เป็นหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินของรัฐมาเป็นระยะเวลานาน กลุ่มนี้จะโอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น คาดว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มนี้ได้ประมาณ ๓ ล้านรายขณะเดียวกัน โฆษกรัฐบาลระบุต่อไปว่า มาตรการและแนวทางการแก้หนี้แต่ละกลุ่มของรัฐบาล เป็นการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้ผู้ที่เป็นหนี้ได้รับสินเชื่ออย่างเหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงให้มีการบริหารจัดการด้านการเงินของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้กลับไปเป็นหนี้อีก ทั้งนี้ การเดินหน้าแก้หนี้ทั้งระบบซึ่งเป็นวาระแห่งชาติตามนโยบายรัฐบาลนั้น จะสามารถปลดล็อกชีวิตคนไทยได้ โดยครอบคลุมประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับประโยชน์จากการแก้หนี้ทั้งระบบ เช่น ๑. เกษตรกร โดยพักหนี้เกษตรกรทั้งต้นและดอก ในวงเงินไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทต่อราย เป็นเวลา ๓ ปี ครม. มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๖ ดำเนินการได้เลย ๒. นักศึกษา ลดดอกเบี้ย ปรับแผนจ่ายเงิน ปลดผู้ค้ำประกัน ถอนอายัดบัญชี ผ่านคณะกรรมการ กยศ. แล้วดำเนินการได้เลย ๓. ครูและข้าราชการ หักไม่เกิน ๗๐% ของเงินเดือน และจัดทำสวัสดิการเงินกู้ข้าราชการ (ดอกเบี้ยต่ำ) ดำเนินการได้เลย ๔. บัตรเครดิต ปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านคลินิกแก้หนี้ ผ่อนได้นานถึง ๑๐ ปี ลดดอกเบี้ย เหลือ ๓-๕% ต่อปี ดำเนินการได้เลย ๕. สินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์เป็นสัญญาควบคุม สคบ. ดำเนินการได้เลยตามประกาศ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕ ๖. วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ยกเลิกสถานะหนี้เสียสำหรับวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ และอนุญาตให้ปรับโครงสร้างหนี้ ๗. หนี้นอกระบบ ให้นายอำเภอและตำรวจในท้องถิ่นช่วยเจรจาประนอมหนี้สำหรับผู้ที่จ่ายเงินต้นครบถ้วนแล้ว เริ่มลงทะเบียน ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ๘. หนี้ NPL ตั้งบริษัท JOINT VENTURE ระหว่างแบงก์รัฐกับบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อรับโอนหนี้เสีย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำแนวทางสร้างความรู้ทางการเงิน/ส่งเสริมการออม เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืน โดยให้หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมกันเสริมความรู้และพัฒนาทักษะการบริหารจัดการเงินให้แก่ประชาชน หรือจัดให้มีระบบการเงินชุมชนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยต่อไป เช่น พัฒนาทักษะการบริหารจัดการเงิน และให้ความรู้ทางการเงิน ผู้กู้ กยศ. ต้องผ่านการอบรมการบริหารจัดการหนี้ เพิ่มบุคลากรที่จะสามารถให้คำแนะนำเรื่องการแก้หนี้ หรือไกล่เกลี่ยหนี้ และส่งเสริมวินัยการออม-บริการออมเพลิน“ประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดขึ้น หากการแก้หนี้ทั้งระบบสัมฤทธิผลตามแผนงานของรัฐบาล คือจะสามารถดึงเม็ดเงินกำลังซื้อกลับคืนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และจะสามารถฟื้นคืนศักยภาพการผลิตของภาคประชาชนกลับคืนมาได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย ๕ ล้านคน”.
รัฐบาลลุยแก้หนี้ทั้งระบบ หากสัมฤทธิผล กำลังซื้อคืนสู่ระบบเศรษฐกิจ ๕ แสนล้าน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง