ศาลฎีกา ตัดสิทธิ์การเมือง ๓ สส.ภูมิใจไทย “ฉลอง-ภูมิศิษฏ์-นาที” พ้นตำแหน่ง สส. เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป-ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กำหนด ๑๐ ปี ปมฝ่าฝืนจริยธรรม คดีเสียบบัตรแทนกัน เมื่อวันที่ ๑๐ ม.ค. ที่ศาลฎีกา สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม หมายเลขดำที่ คมจ.๓/๒๕๖๔ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ยื่นฟ้อง นายฉลอง เทิดวีระพงศ์ อดีต สส.เขต ๒ พัทลุง พรรคภูมิใจไทย, นายภูมิศิษฏ์ คงมี อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต ๑ พัทลุง พรรคภูมิใจไทย และนางนาที รัชกิจประการ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย กรณีเสียบบัตร สส.แทนกันในการประชุมสภาสำหรับคดีนี้ จำเลยทั้ง ๓ คน ถูกกล่าวหาว่ายินยอมให้บุคคลอื่นเสียบบัตรแสดงตนแทนในการลงมติเรียงตามรายมาตรา ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๐-๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นเหตุให้ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๓ วาระที่ ๒-๓ เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่อันสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เหตุเกิดที่อาคารรัฐสภาแขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานครขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้คัดค้านทั้งสามฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. ๒๕๖๑ ขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ศาลฎีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษาให้ผู้คัดค้านทั้งสามพ้นจากตำแหน่ง นับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสามมีกำหนดเวลาไม่เกิน ๑๐ ปี ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ ๑, ๒ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน๖๔ ส่วนผู้คัดค้านที่ ๓ พ้นจากการเป็น สส.ก่อนวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้แล้วต่อมา อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องผู้คัดค้านทั้งสามเป็นคดีอาญาด้วยมูลเหตุเดียวกับคดีนี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานส่วนใหญ่เป็นชุดเดียวกัน เมื่อศาลในคดีอาญาดังกล่าวมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม๖๖ แล้ว จึงดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อ โดยไต่สวนพยานผู้ร้องกับไต่สวนพยานผู้คัดค้านองค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานแวดล้อมอื่นประกอบพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว บัตรอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารสำคัญ ประจำตัว ซึ่งแสดงถึงสิทธิและหน้าที่ในฐานะผู้แทนประชาชน ผู้คัดค้านทั้งสามต้องใช้มาตรฐานที่มากกว่าวิญญูชนทั่วไปในการดูแลรักษาบัตรดังกล่าว ทางไต่สวนได้ความว่าภายหลังผู้คัดค้านทั้งสามทราบว่า ตนลืมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในที่ประชุม ก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสามดำเนินการใดเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นนำบัตรของตนไปใช้ ทั้งเมื่อทราบว่ามีผู้อื่นนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนไปใช้แสดงตน และลงมติโดยไม่ได้รับความยินยอม ผู้คัดค้านทั้งสามก็มิได้เร่งรีบตรวจสอบข้อเท็จจริง หรืออาศัยกลไกทางกฎหมายเพื่อสืบหาตัวผู้กระทำดังกล่าว หรือแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการผิดวิสัยของวิญญูชนผู้สุจริต ความเห็นคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของพรรคภูมิใจไทยที่ว่า การกระทำของผู้คัดค้านที่ ๑ ยังฟังไม่ได้ว่า มีความผิดตามข้อบังคับของพรรค มิได้ทำให้ภาระหน้าที่ในการป้องกันบุคคลอื่นนำบัตรของตนไปใช้ หรือการติดตามหาผู้ที่นำบัตรดังกล่าวไปใช้สูญสิ้นไปประกอบกับการที่บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ระบุหมายเลขประจำตัว ชื่อ และชื่อสกุลเจ้าของบัตรไว้ย่อมเป็นการง่ายที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นจะสังเกตเห็นได้ว่า บัตรนั้นเป็นของผู้ใด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีการนำบัตรไปใช้โดยพลการอย่างต่อเนื่องทันที ที่ผู้คัดค้านทั้งสามไม่อยู่ในที่ประชุม หากไม่ได้รับมอบหมายหรือได้รับความยินยอมจากผู้คัดค้านทั้งสาม และหากผู้คัดค้านทั้งสามหลงลืมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในที่ประชุมจริง เจ้าหน้าที่สำนักการประชุมย่อมต้องพบและเก็บบัตรของผู้คัดค้านได้ ตั้งแต่หลังเลิกประชุมในวันที่ ๑๐ ม.ค. การที่ผู้คัดค้านทั้งสามอ้างว่าเร่งรีบออกจากที่ประชุม ก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสามแจ้งให้ผู้ใดทราบ เป็นเรื่องยากที่บุคคลอื่นจะทราบถึงการไม่อยู่ร่วมในที่ประชุมของผู้คัดค้านทั้งสาม จนสามารถใช้บัตรแสดงตนและลงมติได้ต่อเนื่องทันที ทั้งช่วงเกิดเหตุมีที่นั่งและช่องเสียบบัตร ๓๐๐ ที่นั่ง ไม่เพียงพอต่อจำนวน สส. ทำให้ต้องมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนใช้เครื่องเสียบบัตรร่วมกัน และระหว่างการประชุมไม่มีการบันทึกภาพสมาชิกขณะแสดงตนและลงมติไว้ ย่อมเป็นช่องทางให้มีการนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของ สส.รายอื่นไปใช้แสดงตน และลงมติแทนได้ง่าย โดยที่ถูกพบเห็นได้ยาก จึงเป็นข้อสนับสนุนให้เชื่อว่ามีบุคคลอื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้คัดค้านทั้งสามโดยความรู้เห็นและยินยอมของผู้คัดค้านทั้งสามส่วนข้ออ้างของผู้คัดค้านทั้งสามเกี่ยวกับเหตุผลความจำเป็นและความสำคัญของการออกจากที่ประชุมเพื่อเดินทางไปร่วมงานวันเด็กแห่งชาติและงานสัมมนา การไม่มีเหตุจูงใจใดให้ต้องฝากบัตรไว้ และการที่ผู้คัดค้านทั้งสามไม่อยู่ในที่ประชุมไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงความเร่งรีบ อาการเจ็บป่วย และความเหนื่อยล้าที่ ทำให้ลืมบัตรไว้นั้น มิใช่เหตุตามกฎหมายที่จะฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือยินยอมให้ผู้อื่นนำไปใช้แสดงตนและลงมติแทนผู้คัดค้านทั้งสามได้ และมิใช่ข้อยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ ไม่อาจใช้อ้างเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีการฝาก หรือยินยอมให้มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทน หรือใช้ยันเพื่อปัดความรับผิดในกรณีที่บุคคลอื่นนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้แสดงตนและลงมติแทนได้ส่วนที่อ้างว่าการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทน เกิดจากการกระทำของ สส.ที่มีข้อขัดแย้งทางการเมืองและไม่หวังดีนั้น ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสามฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์แก่ สส.รายอื่น หรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติแทนผู้คัดค้านทั้งสาม เป็นเหตุให้การออกเสียงลงคะแนนไม่สุจริต ละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น สส.ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ทั้งขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่ได้ปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยเฉพาะการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของผู้คัดค้านทั้งสามเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริต ถือได้ว่าเกิดความเสียหายแก่สภาผู้แทนราษฎรและปวงชนชาวไทยแล้ว ถือว่าผู้คัดค้านทั้งสามกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สภาผู้แทนราษฎรและปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามจึงเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ฐานไม่รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ฐานไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ นอกจากนี้ การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามยังเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฐานกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวมซึ่งเมื่อพิจารณาลักษณะของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาสามารถบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายได้ อันจะสะท้อนความสามารถในการบริหารประเทศด้านการเงินและการคลัง กับเสถียรภาพของรัฐบาล และต้องอาศัยมติและเสียงของสมาชิกฝ่ายรัฐบาลเป็นหลักในการผลักดันร่างกฎหมาย เมื่อผู้คัดค้านทั้งสามเป็นสมาชิกพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ย่อมเป็นมูลเหตุจูงใจให้ผู้คัดค้านทั้งสามต้องมอบหรือฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไว้ให้บุคคลที่ได้มีการคบคิดกันมาก่อนแสดงตนและลงมติแทน ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่อยู่ร่วมประชุมเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ วาระที่ ๒ และวาระที่ ๓ ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ พรบ.ดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การกระทำในส่วนนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีลักษณะร้ายแรงส่วนข้อที่ผู้ร้องกล่าวหาว่า ผู้คัดค้านทั้งสามกระทำการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฐานกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมนั้นเห็นว่า ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสามได้กระทำการไปในลักษณะที่เข้าไปมีส่วนได้เสียในการเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ผู้คัดค้านทั้งสามปฏิบัติหน้าที่ หรือมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบ หรือได้เข้าไปมีส่วนได้เสีย ในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ทั้งการที่ผู้คัดค้านทั้งสามให้ สส.รายอื่นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตน เพื่อแสดงตนและลงมติแทนนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือการครอบงำใดๆ ของบุคคลอื่น จึงรับฟังไม่ได้ว่าการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมตามคำร้องพิพากษาว่า ผู้คัดค้านทั้งสามฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ ๖, ๗, ๘ ประกอบข้อ ๒๗ วรรคหนึ่ง และข้อ ๑๗, ๒๑ ประกอบข้อ ๒๗ วรรคสอง ให้ผู้คัดค้าน ๑, ๒ พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ ๓ ก.ย. ๒๕๖๔ อันเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำสั่งในคดีนี้ ให้ผู้คัดค้านที่ ๑, ๒ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสามตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสาม มีกำหนดเวลาสิบปี นับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาตาม รธน.มาตรา ๒๓๕ วรรคสามและวรรคสี่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๗ ประกอบมาตรา ๘๑ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนคดีอาญา เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม๖๖ ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาจำคุก อดีต สส.ภูมิใจไทย ๓ ราย จำคุกคนละ ๙ เดือน ไม่รอลงอาญา พ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิทางการเมือง กรณีเดียวกันนี้ ซึ่งคดีอยู่ระหว่างชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์
ศาลฎีกา ตัดสิทธิการเมือง สมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ๓ สส.ภูมิใจไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง