วันพฤหัสบดี, 7 พฤศจิกายน 2567

แฟลชม็อบคุก ๔ เดือน "พิธา-ธนาธร" กับพวก ๖ คน ปรับ ๒ หมื่นรอลงอาญา ๒ ปี

ศาลพิพากษาฟัน “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์-พิธา” และจำเลยอีก ๔ คน มีความผิดจัดแฟลชม็อบ ๑๔ ธันวาคม๒๕๖๒ ใกล้พระบรมมหาราชวังในรัศมี ๑๕๐ ม. กีดขวางการสัญจร สั่งจำคุก ๔ เดือน ปรับอีกคนละกว่า ๒ หมื่น โทษจำคุกให้รอลงอาญา “พิธา” ติดใจจ่ออุทธรณ์ หวังเป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่น “ปิยบุตร” ยกเทียบคดีปิดสนามบินยังโทษน้อยกว่า ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นฟัน “กวิ้น-อั๋ว” จัดม็อบตามหา “วันเฉลิม” นายกฯตรวจระบบ ตม.สุวรรณภูมิ วางแผนแม่แบบสังคายนาทุกมิติ สวมเสื้อลายมังกรรับตรุษจีน ย้ำอีกรอ ป.ป.ช.ตอบกลับได้ แต่ ปชช.รอเงินดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ “อ้วน” จ่อลุยไฟ ขู่คนต้านเกิดต้มยำกุ้งภาค ๒ ต้องรับผิดชอบ เย้ยวาทกรรมก้าวไกลยิ่งยุบยิ่งโต แจงลายช้าง-แมวจดลิขสิทธิ์แล้ว สว.จวกรัฐบาลมองไม่เห็นหัว ประณาม รัฐมนตรีหนีกระทู้ ภท.ชง ก.ม.รื้อคำสั่งหัวหน้า คสช.เส้นทางวิบากกรรมของคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ยังไม่มีที่สิ้นสุด ล่าสุดศาลแขวงปทุมวันนัดฟังคำพิพากษา ตัดสินให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และจำเลยอีก ๔ คน มีความผิดกรณีจัดแฟลชม็อบเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม๒๕๖๒ศาลนัดฟังตัดสินคดีแฟลชม็อบเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวง ๖ (ปทุมวัน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ นายธนวัฒน์ วงค์ไชย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร เป็นจำเลยที่ ๑-๘ ในความผิดตาม พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่แจ้งการชุมนุมร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี ๑๕๐ เมตร จากพระบรม มหาราชวังฯ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการปฏิบัติงาน หรือการใช้บริการสถานีรถไฟ ไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุม ไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะหรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึงจะคาดหมายได้ พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณา ใช้เครื่องขยายเสียงจากเหตุการณ์ชุมนุมแฟลชม็อบ บริเวณสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม๒๕๖๒ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ คดีกู้ยืมเงินจากนายธนาธร ๑๙๑ ล้านบาท จำเลยยังสลับกันขึ้นปราศรัย จำเลยเดินทางมาศาลครบtt ttรออาญา “ธนาธร–ป๊อก–ช่อ–พิธา”ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงในทางนำสืบ เมื่อจำเลยประกาศเชิญชวนผู้ชุมนุมผ่านเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ของกลุ่มจำเลยย่อมรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีประชาชนมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก จำเลยจึงเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ศาลเห็นว่าจำเลยไม่สามารถรับผิดชอบต่อการชุมนุมไม่ให้กีดขวางการสัญจรของประชาชนต่อระบบขนส่งสาธารณะ และการชุมนุมอยู่ในเขตพระราชฐานใกล้กับพระราชวังสระปทุม ในระยะ ๑๕๐ เมตร พิพากษาจำเลยกระทำผิดตามฟ้องให้จำคุกจำเลยทั้ง ๘ คนละ ๔ เดือน ปรับคนละ ๑ หมื่นบาท พิเคราะห์อายุประวัติสถานะทางสังคม ความมีชื่อเสียง และมีผู้ติดตามจำนวนมาก จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและการชุมนุมเป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรงเห็นควรให้โทษจำคุก รอลงอาญาไว้เป็นเวลา ๒ ปี ส่วนกรณีที่จำเลยไม่แจ้งการชุมนุมและใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติปรับพินัย ลงโทษปรับพินัยอีกคนละ ๑๐,๒๐๐ บาททนายเผยยังติดใจจ่ออุทธรณ์นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทนายความจำเลย กล่าวว่า จำเลยยังติดใจมาตรฐานเรื่องระยะ ๑๕๐ เมตรว่าวัดจากจุดไหน มีการเทียบเคียงกับคดีอื่นที่ชุมนุมสถานที่เดียวกัน จุดเดียวกัน ศาลอาญากรุงเทพใต้เคยมีคำพิพากษายกฟ้อง อีกทั้งประเด็นการไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลแขวงจังหวัดเชียงรายเคยมีคำวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาต เพียงแต่ต้องแจ้งพนักงานสอบสวนให้ทราบเท่านั้น แต่หากมีการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียก็ถือว่าเจ้าหน้าที่รับรู้แล้ว คดีนี้ตำรวจรับรู้ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม๒๕๖๒ แล้วว่ามีการชุมนุม จากการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในฐานะทนายคิดว่า จำเลยควรอุทธรณ์คดี เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะเเต่ต้องการความจริง เคารพคำพิพากษาศาล เเต่เคารพข้อเท็จจริงมากกว่า“พิธา” ชี้ระยะอาจคลาดเคลื่อนนายพิธากล่าวว่า หารือกับจำเลยคนอื่นเห็นว่าต้องยื่นอุทธรณ์คดี เพราะมีประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องระยะการชุมนุมใกล้เขตพระราชฐาน อาจมีความคลาดเคลื่อนของ ๑๕๐ เมตรว่าวัดจากจุดไหน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่นๆ กรณีนี้ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลเสียเครดิต เพราะประชาชนมีความเข้าใจในข้อเท็จจริง เราอยากโฟกัสเรื่องงานเพราะสัปดาห์หน้าจะไปสภาอภิปรายเรื่องปัญหาการประมง“ปิยบุตร” ยกเทียบคดีปิดสนามบินนายปิยบุตรกล่าวว่า คดีนี้มีหลายประเด็นที่ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อเมื่อเทียบเคียงกับคดีปิดสนามบิน มีผลกระทบจำนวนมาก และเป็นความผิดชัดเจน แต่ศาลพิจารณาสั่งปรับคนละ ๒ หมื่นบาท ส่วนการชุมนุมคดีนี้เป็นการชุมนุมใช้ระยะเวลาไม่นาน หลังเลิกชุมนุมก็ช่วยกันเก็บขยะ สุดท้ายถูกจำคุกถึง ๔ เดือน มีค่าปรับรวม ๒๐,๒๐๐ บาท เป็นเหตุผลที่ต้องอุทธรณ์คดีเพื่อให้ศาลสูงพิจารณา ส่วนเรื่องความไม่เหมาะสมของกฎหมายอยากจะฝากให้พรรคก้าวไกลไปพิจารณาแก้ไขในสภาต่อไปยืนตามศาลชั้นต้นฟัน “กวิ้น–อั๋ว”อีกคดีที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำ ๖๕๓/๒๕๖๖ ที่พนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนายเพนกวิน ชีวารักษ์ จำเลยที่ ๑ และ น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรืออั๋ว จำเลยที่ ๒ ในความผิดต่อ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) จากการจัดกิจกรรม #Save วันเฉลิม ทวงความเป็นธรรมให้กับการบังคับสูญหายนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หน้าหอศิลป์กรุงเทพ เมื่อวันที่ ๕ มิ.ย. ๒๕๖๓ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๒ มีความผิด จำคุกคนละ ๒ เดือน และปรับคนละ ๑ หมื่นบาท จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๘ วรรคหนึ่ง อีกกระทงปรับ ๒ พันบาท รวมจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ เดือนและปรับ ๑๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด ๒ ปี จำเลยทั้ง ๒ อุทธรณ์ในทำนองว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงข้อความในเฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นนายกฯตรวจระบบ ตม.สุวรรณภูมิเมื่อเวลา ๐๙.๓๐ น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง ลงพื้นที่ติดตามงานด้านบริการนักท่องเที่ยว ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) หลังเกิดเหตุระบบสำรองข้อมูล หรือ Back up System ล่มบ่อย โดยไม่มีการแจ้งกำหนดการล่วงหน้า จากนั้นเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ไปโดยไม่ได้แจ้งไว้ประมาณต้นเดือน มี.ค. จะมีการประกาศยกระดับสนามบินทั่วประเทศและเป็นแผนงานใหญ่ ระบบการตรวจคนเข้าเมือง และวิธีการระบบจัดการทั้งหมดเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อยากแค่ฟังเท่าที่รายงานขึ้นมา อยากไปดูให้เห็นด้วยตา และไม่อยากใช้คำว่าปัญหา แต่จะใช้คำว่าโอกาส มีโอกาสที่จะทำให้ดีขึ้นอีกเยอะในหลายๆมิติ เริ่มตั้งแต่เรื่องงานระบบไอที มีหลายเจ้ามาทำ การที่ไม่เชื่อมต่อโยงกันระบบสำรองข้อมูล หรือ Back up System ความเสถียรของระบบและเรื่องของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่มีจำนวนไม่พอวางแผนแม่แบบสังคายนาทุกมิตินายกฯกล่าวว่า มีโอกาสไปดูพื้นที่พักผ่อนและผลัดกะตรวจเวร ความเป็นอยู่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงสั่งให้มีการปรับปรุงทั้งขาเข้าและขาออก และอะไรหลายๆอย่าง ถือเป็นโอกาสไปรับข้อมูลนำมาปรับปรุง พร้อมเขียนไปในแม่แบบใหญ่ที่เตรียมจะแถลง ที่ยังมีปัญหาระบบล่มเป็นส่วนหนึ่งต้องแก้ไขอย่างบูรณาการ สาเหตุเป็นเรื่องของระบบ จริงๆมีหลายระบบเข้ามา ระบบ Back up ก็ไม่ดี ช่วงมีคนเข้ามาเยอะ ทุก station มีการใช้งานเยอะระบบก็หน่วงทำให้ช้าอีก ตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ จะมีการประชุมกันต่อเนื่องทั้งสัปดาห์ เพื่อเขียนเป็นแม่แบบว่าจะทำอย่างไร จะแก้ไขกันอย่างบูรณาการ คงใช้เวลาคาดว่า ๑๒ เดือนคงจบได้เล็งขอ กุมภาพันธ์เพิ่มอัตรากำลัง ตม.นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวเทียบเท่ากับช่วงก่อนมีโควิด ได้ให้เคพีไอ (ตัวชี้วัด) หากนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ควรให้คอยการประทับตราหนังสือเดินทางเกิน ๓๐ นาที ส่วนการรอรับกระเป๋าสอบถามทราบว่าดีขึ้นแล้ว จะพยายามทำให้ดีขึ้นอีก ส่วนเรื่องจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่พอ อาจขอไปทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะได้แก้หนเดียวเลย ส่วนขาออกจากการไปดูพบว่ามีคิวยาวมากในการตรวจลงตราพาสปอร์ต เอกซเรย์กระเป๋า และแบ็กอัปแถว ออกมาข้างนอก ทำให้เวลาเช็กอินพื้นที่ไม่เพียงพอ เคยพูดไปแล้วว่าขาออกไม่อยากให้มีการตรวจเช็กเยอะ แต่มีปัญหา ๒ อย่าง คือเรื่องของการอยู่เกินเวลาและคนที่มีความผิดที่จะออกนอกประเทศ ตรงนี้ระบบไอทีจะต้องลิงก์เข้าให้ได้หมด ถือเป็นแผนระยะกลางที่ให้นโยบายไป อยากให้สะดวกสบายตั้งแต่ลงเครื่องบิน เดินเข้ามาในงวง ไม่ต้องนั่งรถบัสเข้ามาเปียกฝน หรือเข้ามาถึงไม่ต้องคอยนาน ๓๐ นาที รับกระเป๋า ระบบแท็กซี่ที่เข้ามาต้องให้เหมาะสมถูกต้อง ขากลับก็ไม่อยากให้เกิน ๒ ชั่วโมง เท่าที่สอบถามไปเกือบ ๓ ชั่วโมง เราต้องเห็นใจนักท่องเที่ยวแทนที่จะเอาเวลาไปท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม ต้องมาเสียเวลาที่สนามบิน ถือเป็นโอกาสทำให้การท่องเที่ยวไทยดีขึ้น ขอให้มองเป็นโอกาสtt ttสวมเสื้อลายมังกรรับตรุษจีนช่วงบ่ายที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เดินลงจากห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้ามาบริเวณด้านหน้าตึกไทยฯในชุดเสื้อคอจีนสีแดงปักลายมังกรทอง สัญลักษณ์ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ผู้สื่อข่าวถามว่าใส่เสื้อตรุษจีนหรือ นายกฯตอบว่า “ใช่ครับ เป็นเสื้อตรุษจีน” เมื่อถามว่าใส่เสื้อนี้ไปงานเทศกาลตรุษจีนที่เยาวราช วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ด้วยหรือไม่ นายกฯตอบว่า ไม่ใช่ชุดนี้วันนั้นจะใส่อีกชุด วันนี้ที่ใส่ชุดนี้เพื่อบันทึกเทปเชิญคนจีนมาเที่ยวไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีน มีพูดภาษาจีนด้วย ก่อนจะกล่าวสวัสดีเป็นภาษาจีนว่า “หนีห่าว” เมื่อถามย้ำว่าเสื้อตัวนี้พิเศษอย่างไร นายเศรษฐาชี้ไปที่ลายมังกรทองบนเสื้อพร้อมกล่าวว่า “มังกร” เมื่อถามว่าอาการป่วยดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ นายกฯตอบว่า “ครับ ค่อนข้างช้า ไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ โอเค ทำงานไหว”บอกรอ ป.ป.ช.ได้แต่ ปชช.รออยู่นายเศรษฐายังกล่าวถึงผลการหารือกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการคลัง ถึงการเดินหน้าโครงการเติมเงิน ๑ หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตว่า เรียบร้อย ไว้ถึงเวลาสมควรแล้วจะบอกว่าเรื่องอะไร เมื่อถามว่าเป็นข่าวดีหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่าเป็นขั้นตอนการทำงาน เมื่อถามย้ำว่าตกลงกันได้หรือไม่ว่าจะรอความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกฯตอบว่า ต้องทำงานคู่ขนานกันไป เดี๋ยวนายจุลพันธ์คงบอกเรื่องการนัดหมายประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑ หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อถามว่าไม่จำเป็นต้องถามไปยัง ป.ป.ช.อีกใช่หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ถามไปแล้ว คอยอยู่ท่านคงมีข้อเสนอแนะออกมา ไม่อยากไปอะไรทั้งสิ้น ทำงานไป ประชาชนคอยอยู่“อ้วน” จ่อลุยไฟถ้ายังไม่ตอบกลับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่า ป.ป.ช. จะมีข้อเสนออะไรเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ เราต้องดำเนินการตามที่ว่าไป แต่หากเป็นไปตามเอกสารที่เคยปรากฏในสื่อก่อนหน้านี้ ถือเป็นข้อมูลสำรอง ไม่ใช่เรื่องที่เรากระทำผิดและถูกร้องให้หยุดการกระทำ เมื่อถามว่าต้องขอความเห็น ป.ป.ช.หรือไม่ หรือรัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปเลย นายภูมิธรรมตอบว่า ยังไม่มีสัญญาณตรงมาถึงเรา หากเราไปถามทุกหน่วยงานก่อนจะมีปัญหา แต่หากระหว่างที่เราดำเนินการแล้วมีหนังสือมา เราก็ยังยืนหยัดจะทำ เหมือนตอนที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นมาแล้ว หากถึงตอนที่เราสรุปกระบวนการทุกอย่างแล้ว  ป.ป.ช.ยังไม่มีหนังสือมา ต้องถือว่าเรายังไม่ได้รับหนังสือขู่คนต้านระวังเกิดต้มยำกุ้งภาค ๒ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตในสัปดาห์นี้ นายภูมิธรรมตอบว่าจะประชุมให้เร็วที่สุด เรื่องนี้เราไม่ได้รอช้า เป็นภาระที่เราแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปแล้ว ต้องดำเนินการ และรวบรวมความเห็นแต่ละหน่วยงาน ให้รอดูว่าจะปฏิบัติได้เมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อถามถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ได้แถลงตัวเลขเงินเฟ้อติดลบ ๑% เป็นเดือนที่ ๔ ติดต่อกัน สะท้อนเศรษฐกิจอย่างไร นายภูมิธรรมตอบว่า เรายังอยู่ในช่วงวิกฤติ ยังไม่ขึ้นมาจากศูนย์เลยย้ำให้เห็นว่ายังมีวิกฤติหลายเรื่อง สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือวิกฤติการเงิน เพราะเคยส่งผลกระทบมาแล้วอย่างในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี ๒๕๔๐ พอเรารู้ก็พังทลายทั้งระบบ เท่าที่ดูนักการเงินก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ดูได้จากปัญหาหุ้นกู้ ยืนยันว่าหากปล่อยเรื่องนี้จนเกิดวิกฤติขึ้นแบบต้มยำกุ้ง จะส่งผลเสียหายรุนแรงต่อประเทศ อยากให้ทุกคนที่อยากต่อต้านรัฐบาล ให้คำนึงถึงจุดนี้ด้วย นักเศรษฐศาสตร์หลายคนบอกว่าถ้าไม่ทำอะไรตอนนี้เลยโอกาสเกิดต้มยำกุ้งจะตามมา หากมากเกินกว่าจะเสี่ยงได้ก็ต้องตัดสินใจในทางที่ทำไป แต่หากยังคัดค้านกันอีกก็ไม่ว่ากัน ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความเห็น แต่หากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอยากให้คนที่คัดค้านรับผิดชอบเย้ยวาทกรรมก้าวไกลยิ่งยุบยิ่งโตนายภูมิธรรมยังกล่าวถึงการวิเคราะห์ว่าหากยุบพรรคก้าวไกลจะทำให้ยิ่งยุบยิ่งโตว่ายิ่งยุบยิ่งโตเป็นเพียงวาทกรรมจะยุบแล้วจะโต จะยุบแล้วจะเล็ก หรือจะอะไร ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงอย่าไปคาดการณ์อะไรจะยุบหรือไม่ยังไม่รู้ หากจะยุบจะยุบแบบไหน ทุกอย่างมีปัจจัย ย้ำว่ายิ่งยุบยิ่งโตเป็นแค่วาทกรรม อย่าให้ความสำคัญมาก เราให้ความสำคัญกับความเป็นจริงดีกว่า เมื่อถามว่าในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมจะมีเรื่อง ป.อาญามาตรา ๑๑๒ หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่าต้องนำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาดูรายละเอียดจุดยืนเรื่องมาตรา ๑๑๒ ของพรรคเพื่อไทยชัดเจนเรื่องอะไรที่มีความอ่อนไหวจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ และยังมีความเห็นต่างกัน ต้องหาข้อสรุปให้ได้ก่อน ถ้ายังหาข้อสรุปไม่ได้ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาจะเห็นว่าในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเราจึงไม่แตะเรื่องมาตรา ๑๑๒บลัฟแค่ข้อเสนอ “ปิยบุตร” คนเดียวเมื่อถามถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เสนอให้แก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อลดขอบเขตอำนาจ นายภูมิธรรมตอบว่า นายปิยบุตรเป็นนักกฎหมาย ตนเป็นนักรัฐศาสตร์ ไม่เข้าใจรายละเอียดที่นายปิยบุตรพูด ส่วนตัวคิดว่าทุกอย่างต้องมีเหตุผลรองรับ และเป็นเรื่องของสภาไม่ใช่ความเห็นคนใดคนหนึ่ง เมื่อถามย้ำว่าคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากไปหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า คิดว่าท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน ทุกองค์กรมีหน้าที่ตามสถานการณ์ตามเงื่อนไข หากเหมาะสมก็ดำเนินการไป เป็นที่ยอมรับ แต่หากมีปัญหาก็จะหยิบยกขึ้นมา ส่วนตัวมองว่าโดยพลวัตของการเปลี่ยนแปลง ทุกองค์กรทุกหน่วยงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นtt ttลายช้าง–ลายแมวจดลิขสิทธิ์แล้วนายภูมิธรรมกล่าวถึงกรณีจีนส่งกางเกงช้างเข้ามาขายในไทย จะต้องตรวจสอบเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ว่า กางเกงลายช้างหรือลายแมวมีการจดลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอยู่แล้ว เพียงแต่ในการจดลิขสิทธิ์อาจมีความแตกต่างกันไป ต้องมาดูข้อกฎหมายว่าครอบคลุมแค่ไหน ทั้งนี้กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ออกไปสำรวจตลาดว่าสินค้าดังกล่าวนี้มีมากน้อยแค่ไหนได้ประสานกับกรมศุลกากรจะสั่งให้ทุกด่านควบคุมสินค้าตัวนี้ที่เข้ามา นอกจากนี้ยังประสานกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเราอาจต้องใช้สัญลักษณ์ที่เป็นการจองพื้นที่หรือการสรุปว่าเป็นสินค้าไทย เพื่อควบคุมดูแลสินค้าไทย อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับสินค้าไทย จะเห็นได้ชัดเจนว่าต่างกันลิบลับในเรื่องคุณภาพ สินค้าของไทยคุณภาพดีมากสว.จวกรัฐบาลทำมองไม่เห็นหัวที่รัฐสภา นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. กล่าวถึงกรณีรัฐบาลกำหนดช่วงให้วุฒิสภาอภิปรายในญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๓ ในวันที่ ๑๘ มีนาคมว่าเป็นเรื่องไม่ควรกระทำ ไม่รู้ดึงเวลาเพื่อให้สถานการณ์ต่างๆแผ่วลงหรือไม่ การดึงเวลาไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับระบบรัฐสภา วุฒิสภาทำหนังสือขอไป ๒ วัน คือวันจันทร์และอังคารในเดือน ก.พ. เราทำหนังสือไปล่วงหน้าหลายสัปดาห์ แต่รัฐบาลกลับละเลยเห็นความสำคัญเรื่องนี้น้อยไป น่าตำหนิ และยังไม่แน่ใจว่าจะได้อภิปรายในเดือน มีนาคมหรือ ไม่เป็นเพียงข่าวจากแกนนำรัฐบาลบางคนเท่านั้น หากรัฐบาลติดภารกิจอีกต้องไปอภิปรายในเดือน เมษายนใช่หรือไม่ ถ้าเดือน เมษายนอภิปรายไม่ได้เพราะปิดสมัยประชุมก่อนก็ไม่ต้องมาอธิปรายหรือไม่ จะสอบถามนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาเช่นกันว่าทำไมถึงยอมให้รัฐบาลต่อรองได้ สว.กำหนดไปแล้วหากรัฐบาลไม่มีเวลา สว.ก็อภิปรายข้างเดียวไป รัฐบาลไม่มาถือว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เรื่องอย่างนี้ไม่ให้ความสำคัญไม่ได้ประณาม รัฐมนตรีหนีตอบกระทู้ต่อมาเวลา ๑๐.๓๐ น. มีการประชุมวุฒิสภา มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดย นพ.อำพล จินดาวัฒนะ สว. ตั้งกระทู้ถาม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงการจัดสรรพื้นที่ป่าชายเลนให้เอกชนปลูกป่าชายเลน ทำประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตแต่ พล.ต.อ.พัชรวาท ติดภารกิจไม่สามารถมาตอบกระทู้ได้ ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ ๔ มี.ค. นพ.อำพลกล่าวว่า ตั้งกระทู้นี้ตั้งแต่สมัยประชุมที่แล้วอ้างติดภารกิจขอเลื่อนตอบกระทู้ไป ๔ ครั้ง ไม่อยากให้สังคมเข้าใจรัฐมนตรีว่าซื้อเวลาหรือไม่ ขอให้นายกฯกำชับรัฐมนตรีให้ความสำคัญมาตอบกระทู้ด้วย ด้านนายวันชัย สอนศิริ สว. กล่าวว่า รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับ สว. แม้ประสานงานไปที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้ไปประสาน คณะรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ในที่ประชุม สว. แต่ดูเหมือนสักแต่พูด ไม่ปฏิบัติตาม เป็นเรื่องน่าอาย น่าเกลียดอย่างยิ่ง ขอให้เอาความน่าอายนี้ส่งไปยังนายกฯและรัฐมนตรีทุกคน ทำไมเลื่อนแล้วเลื่อนอีกหลายครั้ง แสดงว่าไม่ให้เกียรติวุฒิสภา ท่านก็ไร้เกียรติต่อการมาตอบกระทู้แค่นี้ ทั้งที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล ขอประณามการกระทำอย่างนี้วิป รบ.เขี้ยวให้อภิปรายวันเดียวนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย รองประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรอบเวลาที่จะให้ สว.อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ในวันที่ ๑๘ มีนาคมว่า ไม่ช้าเกินไป ต้องเห็นใจนายกฯและ คณะรัฐมนตรีที่มีภารกิจแก้ปัญหา นายกฯไม่ได้พักผ่อนจนล้มป่วย ส่วนการจะขยับวันอภิปรายให้เร็วขึ้นนั้นคงลำบาก เท่าที่ทราบน่าจะเป็นวันที่ ๒๐ มีนาคมนี้ ถ้าขยับให้เร็วขึ้นจะเป็นวันที่ ๑๘ มี.ค. รัฐบาลส่งเรื่องมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา ส่วนกำหนดวันเป็นเรื่องของครม. วิปรัฐบาลไม่สามารถตอบแทนได้ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลา ๑๓ ชั่วโมง คือ ๑ วัน ให้เวลา สว. ๑๐ ชั่วโมง รัฐบาล ๓ ชั่วโมง เท่าที่คุยกับ สว.บางคนบอกว่าไม่รู้จะอภิปรายแง่มุมไหน ดูจากการลงชื่อแค่ ๙๘ คนภท.ชง ก.ม.รื้อคำสั่งหัวหน้า คสช.อีกเรื่อง นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ยื่นร่าง พระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยต่อประธานสภาผู้แทน ราษฎร นายสฤษฏ์พงษ์กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มอบให้ทีมกฎหมายพรรคศึกษาประกาศและคำสั่ง คสช.ที่มีปัญหาต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะได้รับการร้องเรียนเรื่องสิทธิมนุษยชนจากหลายองค์กร พบว่าประกาศและคำสั่ง คสช.มี ๒๔๐ เรื่อง ออกเป็นกฎหมาย ๗๑ ฉบับ มีเนื้อหาใช้บังคับอยู่ ๓๗ เรื่อง พบว่ามีเรื่องที่ต้องแก้ไข ๗๑ เรื่อง การยื่นร่าง พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้ตำหนิคำประกาศคณะปฏิวัติ บางฉบับมีความจำเป็น เพียงแค่เปลี่ยนชื่อจากคำประกาศคณะปฏิวัติ มาเป็นชื่อ พ.ร.บ. หรืออย่างอื่น จะดูดีในสายตาชาวต่างชาติที่จะมาลงทุนในไทยพท.เพิ่งตื่นเล็งยื่นร่างฯประกบด้านนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย รองประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีพรรคภูมิใจไทยยื่นร่าง พระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช.ว่า พรรคเพื่อไทยจะยื่นร่างประกบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มอบให้นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และคณะ ไปศึกษาคำสั่ง คสช.ทั้งหมด คงออกมาเร็วๆนี้ไม่ใช่เรื่องยาก วิปรัฐบาลต้องนำมาดูพูดคุยกัน ให้กฎหมายออกมาดีที่สุดอะไรต้องยกเลิก หรืออะไรที่เป็นประโยชน์ก็นำมาปรับปรุงใหม่tt ttบี้ กกต.ฟัน “เรืองไกร” ชิ่งเร่งยุบ ภท.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น เข้ายื่นต่อ กกต. ทวงถามกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เคยยื่นเรื่องการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กับกกต. อาจเข้าข่ายยื่นความเท็จ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยบริษัท ไอทีวี จำกัด ไม่ได้มีสภาพเป็นสื่อ นายภัทรพงศ์กล่าวว่า คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร จึงขอให้ตรวจสอบพฤติกรรม นายเรืองไกร ทั้งการให้ถ้อยคำเอาพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารเข้าสู่ระบบของ กกต. เข้าข่ายความผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา ๑๔๓ มีโทษจำคุก ๗-๑๐ ปี และยังรอดู กกต.จะชงเรื่องไหนไปศาลรัฐธรรมนูญก่อน หลังจากที่ตนยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยไปเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม๒๕๖๖ วันนี้ตนและนายเรืองไกรต้องวัดกันให้ติดคุกไปข้างหนึ่ง ท้ายสุดพรรคก้าวไกลโดยยุบก็ไม่สนใจ สนใจนายเรืองไกรต้องติดคุกกรณียื่นเรื่องหุ้นไอทีวีแอมเนสตี้ฯสะกิดปล่อยนักโทษ ๑๑๒ที่แยกสวนมิสกวัน ถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล กลุ่มแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำโดยนางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ไทย ร่วมกับเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน พร้อมมวลชนที่แต่งกายคล้ายพ่อมด-แม่มด ถือไม้กายสิทธิ์ คล้ายในภาพยนตร์ดัง harry potter ยื่นหนังสือเรียกร้องต่อรัฐบาล พร้อมมอบ ๗,๓๐๑ รายชื่อ ที่รณรงค์ให้คนทั่วโลกร่วมลงชื่อและส่งจดหมายให้ปล่อยตัวนายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน นักโทษคดีมาตรา ๑๑๒ และผู้ต้องหาคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองรายอื่นๆ มีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนรับหนังสือ นางปิยนุชกล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายอานนท์ทันทีไม่มีเงื่อนไขให้ยกเลิกคำตัดสินว่านายอานนท์มีความผิด ทั้งนี้ ระหว่างที่ยังไม่ยกเลิกคำตัดสิน ต้องอนุญาตให้นายอานนท์ และนักกิจกรรมคนอื่นได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายที่ถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิ และนิรโทษกรรมประชาชน ๑,๙๓๘ คน ที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง เพื่อยืนยันว่าไทยต้องการเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ“อนุทิน” กำชับแผนบันได ๑๐ ขั้นที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย เป็นประธานประชุมติดตามขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของ รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย โดยมีผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด และบุคลากรกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุม นายอนุทินเน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในช่วงเวลาต่อจากนี้ ดังนี้ ๑.ทุกภาคส่วนให้สนับสนุนกิจกรรมมหามงคลปี ๒๕๖๗ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา วันที่ ๒๘ กรกฎาคมนี้ ๒.มุ่งเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ๓.quick win แก้ปัญหายาเสพติด ๔.จัดระเบียบสังคม ๕.แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ๖.ขับเคลื่อนพลังงานสะอาด น้ำสะอาด และอากาศสะอาด ๗.ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP และสนับสนุนส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชน ๘.รับมือภัยแล้ง ๙.ขอให้มีเจตนารมณ์ทำงานด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต ใช้ระบบคุณธรรมในการปฏิบัติราชการ และ ๑๐.ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันยึดคุณธรรมอย่ากลัวตบทรัพย์นายอนุทินกล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทยต้องมีทีมเวิร์กประสานงานภายในและบูรณาการข้ามหน่วยงาน เพราะหลายภารกิจต้องใช้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนจึงสำเร็จ ทั้งปราบผู้มีอิทธิพล แก้หนี้นอกระบบ ขอให้ทุกคนยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ความโปร่งใส มีความกล้าหาญ ทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ ยึดหลักคุณธรรม ถ้าถูกต้อง เราจะปกป้องท่าน ความดีจะปกป้องท่าน “บางทีมันมีข่าวเรื่องแก๊งตบทรัพย์เข้ามา อาจกระทบกับขวัญ กำลังใจของท่าน แต่ขอย้ำเขาทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราทำทุกอย่างบนความสุจริต”“วิลาศ” ร้องซ้ำสภาฯใหม่ไม่ตรงปกเมื่อเวลา ๑๑.๐๘ น. นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) ยื่นเรื่องต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบปริมาณสตีล ไฟเบอร์ ที่ผสมในคอนกรีตบริเวณอื่น นอกจากบริเวณทางเท้าถนนทหารที่ตรวจไม่พบสตีล ไฟเบอร์ ตามที่ระบุในสัญญาการสร้างงาน นายวิลาศกล่าวว่า การก่อสร้างทางเดินเท้ารอบสภาฯ ตามแบบต้องมีเหล็ก ๒ ชั้น แต่มีการขอแก้ไขแบบโดยลดเหลือเหล็กชั้นเดียว และใช้สตีล ไฟเบอร์แทน โดยระบุต้องใช้จำนวน ๒๕ กิโลกรัมต่อปูน ๑ ลบ.ม. จากการตรวจสอบเบื้องต้นตามขอบบ่อปลูกต้นไม้รอบอาคารรัฐสภาพบสตีล ไฟเบอร์ผสมอยู่น้อยมาก บางบ่อไม่พบเลย จึงทำหนังสือถึงเลขาธิการสภาฯ ในขณะนั้นขอให้ตรวจสอบด้วยวิธีการสุ่มเจาะ ต่อมาทราบว่าบริษัทผู้ควบคุมงานสุ่มเจาะตามข้อร้องเรียนเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม๒๕๖๖ พบบางจุดไม่มีสตีล ไฟเบอร์ผสมอยู่ จึงทุบทางเดินเท้าคอนกรีตเดิมบริเวณถนนทหารแล้วทำใหม่ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน๒๕๖๖อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่