สหรัฐฯ ส่งโดรนพิฆาตปลิดชีพ ผู้บัญชาการอาวุโสคนหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธ คาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์ที่อิหร่านสนับสนุน ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงอิรัก เพนตากอนชี้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อเหตุโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในจอร์แดนเมื่อ ๘ ก.พ. ๒๕๖๗ สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กองทัพสหรัฐฯ ส่งโดรนติดอาวุธโจมตีปลิดชีพผู้บัญชาการอาวุโสคนหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธ ‘คาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์’ ที่อิหร่านสนับสนุน ขณะนั่งอยู่บนรถยนต์ ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงอิรัก จนเสียชีวิต พร้อมกับสมาชิกกลุ่มติดอาวุธอีก ๒ คนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวม ๓ ศพจากการโจมตีครั้งนี้ของกองทัพสหรัฐฯกองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งโดรนพิฆาตโจมตีรถยนต์ที่ผู้บัญชาการอาวุโสของกลุ่มคาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์โดยสารอยู่ บริเวณเขตมาชตัล ทางตะวันออกของกรุงแบกแดด ที่มีการจราจรคับคั่ง เมื่อคืนวันพุธที่ ๗ ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น และได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องหลายครั้งtt ttชาวอิรักมุงดูที่เกิดเหตุสหรัฐฯส่งโดรนเด็ดชีพผู้บัญชาการอาวุโสของกลุ่มติดอาวุธคาอิบ ฮิซบอลเลาะห์ ดับคารถยนต์ ในกรุงแบกแดด เมื่อคืนวันที่ ๗ ก.พ .๒๕๖๗โดยมีการระบุว่า หนึ่งใน ๓ ผู้เสียชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้ของกองทัพสหรัฐฯ คือนายอาบู บาเคอร์ อัล-ซาอาดี ผู้บัญชาการอาวุโสคนหนึ่งของกลุ่มคาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์ด้านกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน ออกแถลงการณ์ว่า ผู้บัญชาการอาวุโสนายนี้ของกลุ่มติดอาวุธคาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์ รับผิดชอบโดยตรงต่อการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ‘ทาวเวอร์ ๒๒’ ในจอร์แดน ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต ๓ ศพเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งต่อมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ชี้ว่ากลุ่มคาตาอิบ ฮิซบอลเลาะห์ เกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธ ขบวนการอิสลามเพื่อการต่อต้านในอิรักที่ออกมาอ้างความรับผิดชอบในการโจมตีฐานทัพทาวเวอร์ ๒๒ ของกองทัพสหรัฐฯ ในจอร์แดนtt ttสภาพรถยนต์กลายเป็นเศษเหล็ก หลังสหรัฐนส่งโดรนพิฆาตโจมตีเด็ดชีพ ผู้บัญชาการอาวุโสกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านสนับสนุน ขณะโดยสารรถยนต์ ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงอิรัก เมื่อคืนวันที่ ๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๗ต่อมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศจะตอบโต้กลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านสนับสนุนที่โจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในครั้งนี้ และกองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีเป้าหมายกลุ่มติดอาวุธทั่วอิรักและซีเรีย เมื่อ ๓ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้นอ่านข่าวต่างประเทศได้ที่:https://www.thairath.co.th/news/foreignที่มา : BBC
