“รองโจ๊ก” โวยแหลกโดนดิสเครดิตคดีเว็บพนันมินนี่ แต่อุบว่ามาจากเรื่องไหน ยันยังไม่ได้รับการประสาน จาก ตำรวจไซเบอร์ให้เข้าไปให้ปากคำ ส่วนจะไปไม่ไปต้องเป็นคำสั่งอัยการเท่านั้น สำหรับข่าวคุกคามอัยการ ถามลูกน้องแล้วยืนยันว่าไม่ได้ทำ ตอนนี้รู้สึกสงสารลูกน้อง คำรามขู่สื่อระวังตัวแชร์ข่าวมั่วให้เสียหาย ด้าน “นายกสมาคม พงส.” ตั้งโต๊ะ แถลงโต้ชุดทำคดีหลังข้อมูลสำนวนโผล่ว่อนโซเชียล จ่อยื่นหนังสือถึงนายกฯ “ตั้ง คกก.สอบชุดทำคดี-ฟ้องกลับรายบุคคล” ส่วนโฆษก อสส. เผย ๒ อัยการขอพักการร่วมสอบสวนหลังถูกแอบถ่ายโดยไม่ยินยอม ส่งหนังสือถึง ผบ.ตำรวจจัดการเด็ดขาดรวมทั้งคุ้มครองอัยการถูกคุกคามกรณีมีรายงานข่าวเผยแพร่ในโซเชียลออนไลน์เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์๖๗ เป็นความคืบหน้าคดีที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาเปิดเว็บพนันออนไลน์ betfixroyal และจับกุม น.ส.ธันยนันท์ หรือมินนี่ สุจริตชินศรี หรือ “เครือข่ายมินนี่” ผู้ต้องหาตามหมายจับกับพวกในช่วงปี ๒๕๖๖ สำหรับสำนวนที่อัยการรับมานั้น เป็นของกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ๑ (บก.สอท.๑) ที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นทางคดีว่าสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ๑๔ คน โดย ๘ จาก ๑๔ คนเป็นตำรวจใต้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตำรวจทั้งนี้ พนักงานอัยการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับสำนวนการสอบสวน คดีอาญาที่ ๗๒๔/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม๖๖ แล้ว ผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจ ๘ ใน ๑๔ คน ประกอบด้วย พ.ต.ต. ชานนท์ อ่วมทร พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิรัตน์ พล.ต.ต. นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว และ ส.ต.อ.อภิสิทธิ์ คนยงค์ ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวว่า บช.สอท.ได้ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้ไปสอบปากคำในฐานะพยานในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ที่สมาคมพนักงานสอบสวน สโมสรตำรวจ กทม. พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ นายกสมาคมพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ฉัตรมงคล แก้วประเสริฐ พ.ต.อ.ชวลิต มั่นศิลป์ รองนายกสมาคมฯ และเจ้าหน้าที่สมาคมพนักงานสอบสวน ร่วมแถลงข่าวกรณีดังกล่าว โดย พล.ต.ต.ไพโรจน์กล่าวว่า สืบเนื่องจากที่มีข่าวแชร์ในโซเชียลว่าพนักงานสอบสวนมีความเห็นทางคดีว่าสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ๑๔ คน และในนั้นมี ๘ ราย เป็นลูกน้องรอง ผบ.ตำรวจและระบุข้อหาอย่างชัดเจนว่าแต่ละคนโดนข้อหาอะไรบ้าง ความเป็นจริงแล้วข้อมูลเหล่านี้ควรเป็นความลับทางคดีไม่ควรถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ต่อมาได้ขยายเส้นทางการเงิน และส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ๕ ราย ประกอบด้วย ๑. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ๒.พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ๓.พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ๔. พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ๕. ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ตนยืนยันว่าได้รับเงินจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จริง โอนมาจาก พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ เข้าบัญชีบุตรชายตน เป็นค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายในการทำงาน แต่เอกสารลับทางราชการเช่นนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ ผิดตามความลับราชการตำรวจข้อ ๗ ที่ระบุว่าพนักงานสอบสวนจะต้องรักษาความลับของราชการ และความลับในการปฏิบัติหน้าที่พล.ต.ต.ไพโรจน์กล่าวต่อว่า จะไปพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสืบสวนสอบสวนว่าปฏิบัติหน้าที่ตามหลักการสืบสวนสอบสวนและการรับฟังพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และให้ตรวจสอบข้อมูลในสำนวนการสอบสวนซึ่งอยู่ในความครอบครองของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ว่าหลุดออกมาสู่สาธารณะได้อย่างไร ใครเป็นคนปล่อยและเผยแพร่เพื่ออะไร ในวันที่ ๒๐ ก.พ. เวลา ๑๐.๐๐ น. จะไปที่ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบอำนาจพนักงานสอบสวนว่ายังมีอำนาจอยู่หรือไม่ พร้อมเรียกสำนวนการสอบปากคำของพนักงานสอบสวนมาดูโดยเฉพาะคำสั่งอัยการว่าสอบเพิ่มเติมตามคำสั่งหรือไม่นายกสมาคมพนักงานสอบสวนกล่าวต่อว่า ตามพระราชบัญญัติป้องกันแลพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ผู้ที่จะถูกดำเนินคดีจะต้องเป็นผู้รับเงินที่รู้ที่มาของเงินว่าเป็นเงินผิดกฎหมาย ถึงจะเข้าข่ายความผิด ตนเชื่อว่าการปล่อยข่าวครั้งนี้เป็นเจตนาดิสเครดิต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กับตน ส่วนที่ บช.สอท.ได้เรียกสอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ในฐานะพยานยังไม่ทราบ อยากฝากถามผ่านสื่อมวลชนว่า พนักงานสอบสวนชุดนี้มีอำนาจอะไรเรียกสอบ และสอบตามคำสั่งอัยการหรือไม่ หากเป็นการสอบเพิ่มเติมจากอัยการ หมายความว่าสำนวนคดีมีปัญหา พนักงานสอบสวนทำงานบกพร่องทำให้อัยการไม่เชื่อและเกิดความสงสัยเมื่อถามว่าการแถลงข่าววันนี้เจตนาคือต้องการปกป้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือสถาบันพนักงานสอบ สวน พล.ต.ต.ไพโรจน์กล่าวว่า ปกป้องสิทธิของประชาชนที่พึงได้รับ เพราะตนและ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต่างเป็นประชาชนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม และตนในฐานะพ่ออยากปกป้องลูกเพราะลูกถูกตั้งข้อหาจากพนักงานสอบสวนชุดนี้ในความผิดตาม พระราชบัญญัติฟอกเงิน ยืนยันว่าหลังจากนี้จะเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนชุดดังกล่าวเป็นรายบุคคลเพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมาย ส่วนจะกี่คนนั้นจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งต่อมาเวลา ๑๕.๐๐ น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยกรณี บช.สอท.ออกหมายเรียกให้ไปให้การในฐานะพยานในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ปมโยงเว็บพนัน “มินนี่” ว่า เรื่องนี้มีการปูพื้นมาจากเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ และโยงเส้นทางการเงินมายังลูกน้องของตน ๘ คนสำนวนคดีมีการสั่งฟ้องไปยังอัยการแล้ว ตำรวจจะหมดอำนาจทันทีในการสอบสวน ถ้ามีการสอบสวนจะต้องมีคำสั่งจากอัยการเท่านั้น ยืนยันว่าตนไม่เกี่ยวข้องเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ เนื่องจากไม่ได้ให้คุณให้โทษกับเว็บพนัน และไม่ได้คุมไซเบอร์ ถึงแม้จะเป็นรอง ผบ.ตำรวจดูความมั่นคงก็ตาม ส่วนกรณีพบเส้นทางการเงินตนโอนไปยังลูกน้อง ยืนยันว่าเป็นเงินที่ให้ไปทำงานไม่ใช่เงินที่มาจากเว็บพนันที่ต้องตกเป็นเป้าหมายนั้น เชื่อว่าสังคมรู้ดีเป็นการดิสเครดิต ส่วนจะเป็นเรื่องไหนไม่ขอพูด เชื่อว่าจะมีการแต่งบทละครใส่ร้ายตนให้เสียชื่อเสียงจนกว่าคดีนี้จะยุติรอง ผบ.ตำรวจกล่าวต่อว่า หมายเรียก สอท.ที่ระบุให้ตนไปให้การในฐานะพยานนั้น ถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสาน ส่วนจะเดินทางไปหรือไม่นั้น ต้องดูว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจอะไร และต้องเป็นคำสั่งอัยการเท่านั้นถึงจะเดินทางไป เพราะสำนวนคดีนี้อยู่กับอัยการ และส่วนหนึ่งอยู่ที่ ป.ป.ช. ส่วนกรณีอัยการถูก ๑ ใน ๘ ลูกน้องของตนคุกคาม สะกดรอยตามนั้น จากการสอบถามลูกน้องยืนยันว่า ไม่ได้กระทำลักษณะดังกล่าว และหลังจากเป็นกระแสได้ยื่นเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ และต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ สำหรับคดีนี้รู้สึกสงสารลูกน้องและพนักงานสอบสวนบางคนที่ถูกเรียกมาเซ็นชื่อแต่ไม่ได้ทำสำนวน ขอเตือนว่าพอถึงเวลาปัญหาเกิดขึ้นจะต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวไม่มีนายอยู่เคียงข้าง ตนเจอมาหมดแล้ว พร้อมเตือนสื่อมวลชนที่แชร์ข่าวให้ตนได้รับความเสียหายพึงระวังหากข่าวดังกล่าวไม่จริงจะใช้กฎหมายดำเนินการเมื่อถามว่า พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.๔ ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าไปคุกคามได้มีการมาปรึกษาก่อนยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า เพิ่งรู้หลังจากที่ยื่นหนังสือไปแล้ว เพราะถ้าทราบก่อนจะไม่ให้ยื่นเด็ดขาดเพราะมองว่าไม่จำเป็น ส่วนกรณี ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ถูก ๑ในชุดพนักงานสอบสวน สอท. โทรศัพท์เข้ามาเพื่อให้กลับคำให้การ ให้ตนและพวกเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นติดต่อมาจริง เป็นพนักงานสอบสวนยศนายพัน ในวันพรุ่งนี้ลูกน้องตนจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบว่าพนักงานสอบสวนคนนี้เข้าข่ายผิด ม.๑๕๗ หรือไม่วันเดียวกัน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษก อสส.เปิดเผยถึง กรณีที่อัยการสูงสุดมีหนังสือถึง ผบ.ตำรวจขอให้กำหนดความคุ้มครองความปลอดภัยพนักงานอัยการที่เข้าร่วมให้คำแนะนำปรึกษาในการสืบสวนสอบสวน คดีจับกุมเจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ มินนี่ ๒ คน คือ นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน ๑ ถูกกลุ่มผู้ต้องหาในคดีนี้กับพวก ๘ คน ที่ยังรับราชการตำรวจมีพฤติการณ์ข่มขู่คุกคามจากการเข้าไปให้คำแนะนำในการสอบสวนคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์ มินนี่ว่า เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ร้องเรียนการทำหน้าที่ของอัยการทั้ง ๒ คน ต่ออัยการสูงสุด พร้อมแนบเอกสารภาพถ่ายที่ปรากฏภาพของนายกุลธนิตและนายสุริยน ขณะปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนมีลักษณะเป็นการติดตามและแอบถ่าย โดยผู้ถูกถ่ายภาพไม่ยินยอมและไม่รู้ตัว เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบเชิงคุกคามข่มขู่ อาจไม่ปลอดภัยต่อตนเองและครอบครัวจึงขอพักการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะพนักงานสอบสวนชั่วคราวจนกว่าสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยได้นายประยุทธกล่าวต่อว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาอัยการสูงสุดทำหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้ดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้คือ ๑.ขอให้มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่อัยการทั้ง ๒ คน ๒.ให้ ตำรวจพิจารณามาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลดังกล่าว และดำเนินมาตรการไม่ให้ผู้ต้องหาตำรวจทั้ง ๘ คน คุกคามข่มขู่พนักงานอัยการและขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน ๓.ให้อัยการทั้ง ๒ คนหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะไดดำเนินการตามข้อ ๑ และข้อ ๒ เสร็จ ๔.หากพนักงานอัยการเห็นว่ามีความปลอดภัยแล้ว ให้เรียนอัยการสูงสุดทราบและแจ้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ต่อไป และ ๕.ขอให้ ผบ.ตำรวจตรวจสอบหากพบบุคคลกระทำความผิดอาญาให้ดำเนินคดีและรายงานผลคดีให้อัยการสูงสุดทราบด้วยนายประยุทธกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความคืบหน้ากลับมาจาก ผบ.ตร. ส่วนกรณีที่พนักงานอัยการพักการร่วมสอบสวนในคดีนั้นจะมีผลต่อความล่าช้าในการสอบสวนหรือไม่นั้น เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบ เพราะนายกุลธนิตถือเป็นระดับอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนมีความเชี่ยวชาญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เป็นผู้ขอความร่วมมือมาทางอัยการเองด้านนายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษก อสส. กล่าวว่า หาก ผบ.ตำรวจตรวจสอบแล้วเห็นว่าพฤติการณ์เข้าข่ายข่มขู่คุกคาม ขอให้ ผบ.ตำรวจพิจารณาดำเนินการต่อไป กรณีนี้ถือป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายภาพพนักงานอัยการระดับสูงในการปฏิบัติงาน สะท้อนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นว่า หากกรณีนี้เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปจะลำบากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในคดีอาญาต้องมีเจ้าทุกข์เป็นผู้แจ้งความ แต่อัยการจะแจ้งความร้องทุกข์หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่