วันพฤหัสบดี, 7 พฤศจิกายน 2567

รัฐบาล โว ทำงาน ๖ เดือนเริ่มผลิดอกออกผล มุ่งมั่นทำให้ความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น

โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เชื่อมั่นการทำงานตลอด ๖ เดือน เริ่มผลิดอกออกผล เดินหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อน ทำให้ความเป็นอยู่พี่น้องให้ดีขึ้น ย้ำ ปัญหาหนี้สินประชาชนจะต้องจบในรัฐบาลนี้วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในโอกาสการทำงานของครบ ๖ เดือนของการทำงานของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาลได้ประเมินการทำงานที่ผ่านมา พบว่ามีความสำเร็จเห็นเป็นดอกผลจากการทำงานอย่างหนัก วางแผน กำหนดนโยบายด้วยทีมงานที่เข้าใจการทำงาน และเข้าใจชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง จึงเชื่อมั่นว่านโยบายเหล่านี้จะประสบผลสำเร็จ ทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายในการวางรากฐานอนาคตให้กับคนไทย กรอบระยะสั้น กระตุ้นการใช้จ่าย ลดหนี้เกษตรกร เพิ่มราคาสินค้าเกษตรเพื่อเกษตรกร ควบคุมสินค้าเถื่อนที่ลักลอบเข้าประเทศไทย เพื่อจุดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโต รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว ในส่วนของระยะกลางและระยะยาว คือ เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทุกคน พร้อมเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่า ส่วนไหนทำได้ก็จะดำเนินการส่วนนั้นก่อน เพื่อแบ่งเบาภาระ เพิ่มประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน คือ การแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชนที่กว่า ๒ เดือนที่รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหา โดยตั้งแต่เปิดรับลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันมียอดผู้ลงทะเบียนมากกว่า ๑๔๐,๐๐๐ ราย รวมยอดมูลหนี้กว่า ๙,๘๐๐ ล้านบาท ผลจากการเข้าไกล่เกลี่ยทำให้มูลหนี้ลดลงกว่า ๖๗๐ ล้านบาท ส่วนหนี้ในระบบ มีความคืบหน้าในทุกกลุ่มลูกหนี้ทั้ง ๔ กลุ่ม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าปัญหาหนี้สินของประชาชนจะต้องจบภายในรัฐบาลนี้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เดินหน้าเต็มพิกัดทุกเครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าให้กับประชาชน อาทิ๑. ฟื้นระบบ สร้างบรรยากาศการลงทุน โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้เกิดการลงทุนในประเทศเชิงรุกให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่ผ่าน ๕ นโยบายสำคัญ ได้แก่ ๑) ส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Transformation)๒) พัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology Development)๓) พัฒนาและดึงดูดบุคลากรทักษะสูง (Talent Development & Attraction)๔) ส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster-based Investment)๕) อำนวยความสะดวกด้านการลงทุน (Ease of Investment)ควบคู่ไปกับการผลักดัน ๕ อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ โดยในปี ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ยอดตัวเลขทั้งโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนและเงินลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง จำนวนถึง ๒,๓๐๗ โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า ๘๔๘,๓๑๘ ล้านบาท๒. เร่งการเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ไทยมี roadmap ๒๖ ฉบับ มีแล้ว ๑๕ ฉบับ (ล่าสุด FTA ไทย-ศรีลังกา) เร่งเจรจาเพิ่ม ๑๑ ฉบับ ๓. เพิ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งเจรจาเพื่อยกระดับหนังสือเดินทางไทย (Passport) ให้สามารถเดินทางได้หลายประเทศ/ดินแดนมากยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า หรือ Visa Free ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อาทิ คาซัคสถาน ไต้หวัน และอินเดีย รวมถึงวีซ่านักธุรกิจญี่ปุ่น ๓๐ วัน และล่าสุดได้ยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน เป็นการถาวร โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป สนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการยกระดับท่าอากาศยานทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ ให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เต็มศักยภาพ จนทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสมประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๗ (ทั้งเดือน จำนวน ๓๑ วัน) เพิ่มเป็น ๓,๐๓๕,๒๙๖ คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี ๒๕๖๖ ถึง ๔๒% ซึ่งในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวจีน เพิ่มเป็น ๕๐๘,๕๖๓ คน เพิ่มขึ้นมากกว่า ๕ เท่าของปีที่แล้ว (ปี ๒๕๖๖ เดือนมกราคมมีนักท่องเที่ยวจีนจำนวน ๙๑,๘๔๑ คน) คาดว่าจะสร้างรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างมาก ถือเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมา ในช่วงท้าย โฆษกรัฐบาล ระบุด้วยว่า “นายกรัฐมนตรีดำเนินการทำงานทุกด้านอย่างสอดประสาน ทั้งแก้ปัญหาในประเทศ ดึงปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศ เชื่อมั่นว่าทำงานมา ๖ เดือน แก้ปัญหาให้ประชาชนทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนเห็นผลสำเร็จบ้างแล้ว โดยมุ่งมั่นจะทำให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ขณะเดียวกันก็พร้อมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสียงความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้ทางออกที่ดีที่สุดกับพี่น้องประชาชน”